การเตรียมแปลงและวิธีเพาะกล้าในการปลูกหน่อไม้ฝรั่ง

  • การเพาะกล้า

การปลูกหน่อไม้ฝรั่งโดยทั่วไปปลูกจากเมล็ด  ซึ่งจะต้องทำการเพาะให้เป็นกล้าเสียก่อนประมาณ 4-5 เดือน  จึงจะย้ายไปปลูกในแปลงได้ ควรลงมือเพาะกล้าระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน  หรือระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม

เลือกแปลงเพาะกล้าในบริเวณที่ดินอุดมสมบูรณ์  ขุดหรือไถดินให้ลึก เก็บหญ้าออกให้หมด ตากดินไว้อย่างน้อย 15 วัน  แล้วจึงย่อยหน้าดินให้ละเอียด  ทั้งนี้จะต้องเตรียมแปลงเพาะกล้าให้ดีกว่าการเพาะกล้าผักชนิดอื่น ๆ เพราะกล้าหน่อไม้ฝรั่งจะต้องเจริญอยู่ในแปลงเพาะนาน 4-5 เดือน  ซึ่งนานกว่าการเพาะกล้าผักทั่วไป  ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลสัตว์ในขณะเตรียมดิน  เพื่อให้ดินร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ด้วย  เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและเร่งการเจริญเติบโตให้แก่ต้นกล้า สูตรปุ๋ยที่ใช้กับแปลงเพาะควรเป็นปุ๋ยผสมที่มีธาตุ เอน-พี-เค อยู่ในอัตราส่วนเท่า ๆกัน หรือใกล้เคียงกัน เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 เป็นต้น  ใช้ประมาณ 25 กิโลกรัมต่อไร่  ใส่คลุกเคล้าลงไปในดินจนเข้ากันดีแล้ว  จึงยกร่อง  ให้ร่องกว้างประมาณ 1 เมตร ถึง 1 เมตรครึ่ง  ความยาวของร่องไม่จำกัด สุดแล้วแต่ความยาวของพื้นที่หรือกะตามความเหมาะสม เว้นระยะร่องให้ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้เป็นทางระบายน้ำ หรือทดน้ำเข้าแปลง

ก่อนนำเมล็ดไปเพาะ  แช่น้ำอุ่นจัดไว้ 1 คืน  ถ้ามีเมล็ดลีบลอยขึ้นมาช้อนทิ้งเสีย แล้วเอาเมล็ดไปหยอดโดยขุดหลุมตื้น ๆ บนแปลงเป็นแถวให้หลุมห่างกัน 20 เซนติเมตร และแถวห่างกัน 30 เซนติเมตร  กลบดินสูง 3 เซนติเมตร หรือประมาณ 1 องคุลี  หาฟางข้าวมาคลุมแปลงเพาะกล้าบาง ๆ หลังจากเพาะประมาณ 10 วัน  กล้าจะงอกหมด เอาฟางออกวางไว้ระหว่างแถวของต้นกล้า  ถ้าฝนไม่ตกดินแห้งต้องรดน้ำแปลงกล้าบ้าง

ขณะที่กล้ากำลังเติบโตอยู่ในแปลงเพาะ คอยตัดหรือถอนต้นที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์ทิ้ง  หากมีหญ้าขึ้นต้องถอนทิ้งให้หมดหาปุ๋ยเคมีชนิดละลายน้ำ สูตรเสมอ 15-15-15 หรือ สูตร 13-13-21  ซึ่งมีธาตุปอแตสเซียมหรือธาตุตัวท้ายสูง  หรือสูตรใกล้เคียง  โดยใช้ปุ๋ย 2 ช้อนแกงละลายในน้ำ 1 ปี๊บรดแปลงกล้า 7 วันครั้ง พอกล้าอายุได้ 4-5 เดือน  ก็ขุดไปปลูกในแปลงใหญ่ได้  โดยเลือกเฉพาะกล้าที่แข็งแรงเติบโตดีกอใหญ่  รากมาก  ต้นใหญ่  และมีตาขนาดใหญ่ เกษตรกรไม่ควรเสียดายกล้าที่อ่อนแอ ต้นเล็กแกร็น เพราะถ้านำไปปลูกจะเก็บหน่อได้น้อย  ทำให้ไม่คุ้มกับเวลาและแรงงานที่ต้องดูแลรักษา