ดาวเรืองอเมริกัน

ดาวเรืองอเมริกัน

ดาวเรือง

ชื่อวิทยาศาสตร์ของดาวเรือง คือ Tagetes (TAJ-jeet-eez) มาจากคำว่า Tages ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่ง ลินเนียสเป็นผู้เลือกชื่อนี้ให้เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ของดอกดาวเรือง ส่วนชื่อสามัญคือ Marigold

ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่นิยมปลูกกันมากเนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว ให้ดอกเร็วและดอกดกโดยไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มากนัก ดอกบานได้นานพอสมควรทั้งต้นก็แข็งแรงไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน เมื่อบานสะพรั่งพร้อมกันเต็มแปลงใหญ่แล้วสวยงามมาก

ดาวเรืองมีหลายชนิด ต้นสูงต่าง ๆ กันและมีหลายสี เพื่อให้เข้าใจง่ายขอจัดกลุ่มของดาวเรืองเป็น ดาวเรืองอเมริกัน ดาวเรืองฝรั่งเศส และดาวเรืองล่อ ซึ่งในสามกลุ่มนี้ยังมีหลายสี

ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigold) จำนวนเมล็ดในหนึ่งกรัม 300

ชื่อวิทยาศาสตร์ของดาวเรืองอเมริกันคือ Tagetes erecta แต่เดิมขึ้นอยู่ตามป่าทางตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา Cortez เป็นผู้นำดาวเรืองพื้นเมืองจากเม็กซิโกไปสเปน ตั้งแต่ ค.ศ.1520 แต่ไม่ได้รับความสนใจ ต่อมาพวก Moore นำดาวเรืองไปปลูกที่แอฟริกาเหนือแล้วมีผู้นำจากแอฟริกากลับไปยังยุโรปอีก จึงเรียกดอกไม้ชนิดนี้กันว่าดอกดาวเรืองแอฟริกัน (African Marigold) ปัจจุบันนี้แคต­ตาล็อกของบางบริษัทโดยเฉพาะ เบอร์พี (Burpee) เรียกว่า ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigold) เพราะถิ่นเดิมจริงๆ อยู่ในอเมริกา

ดาวเรืองอเมริกันได้ถูกนำมาใช้ปลูกตั้งแต่ ค.ศ.1596 ต่อจากนั้นได้มีการผสมและปรับปรุงพันธุ์บ้างแต่ไม่มีการพัฒนาพันธุ์มากนัก

เมื่อ 70 ปีมานี้คนอเมริกันนิยมปลูกสวีทพีกันมากเนื่องจากมีดอกสวย สีหวานๆ และมีกลิ่นหอม แต่เนื่องจากสวีทพีต้องการอากาศเย็นประกอบกับเผอิญมีโรคเกิดกับราก และระบาดไปทั่วประเทศ

ทำให้ต้นตายก่อนออกดอก ความนิยมปลูกสวิทพีเลยลดลงมาก เดวิด เบอร์พี เจ้าของบริษัทเบอร์พีในสมัยนั้นจึงมองหาพืชใหม่ และเลือกดาวเรือง เขาเชื่อว่าถ้ามีการปรับปรุงพันธุ์ดาวเรืองให้มีต้นเตี้ย

กะทัดรัดและมีดอกดกพราวเพื่อใช้ประดับในแปลงก็จะทำให้คนอเมริกันหันมานิยมปลูกดาวเรืองแทนสวีทพีได้และเขาก็คาดการ์ณไม่ผิด ปัจจุบันนี้ดาวเรืองอเมริกันมีสีเหลือง ส้ม ทอง และมีสีขาวด้วย ดอกมีกลีบซ้อนกันแน่น ดอกใหญ่ 3-4 นิ้ว ความสูงของต้นมีตั้งแต่ 10 – 40 นิ้ว

ดาวเรืองอเมริกันได้รับความนิยมมากครั้งแรกเมื่อบริษัทเบอร์พีนำดาวเรืองลูกผสมชุด Climax ออกแสดงในงานโชว์ดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเมื่อปี I960 ที่เมืองชิคาโก ผู้คนตื่นเต้นมากเมื่อเห็นดาวเรืองดอกใหญ่ขนาด 5 นิ้ว กลีบซ้อนกันแน่นจนลูกลมเหมือนลูกบอล ดอกมีก้านยาวและมีหลายดอกต่อต้น แต่ต้นค่อนข้างสูงคือประมาณ 30 นิ้ว

อีก 7 ปีต่อมา เบอร์พีก็เสนอดาวเรืองอเมริกันพันธุ์ Lady ซึ่งมีขนาดดอกเล็กกว่าพันธุ์ Cli­max คือดอกขนาด 3 นิ้วแต่ให้ดอกดกกว่าและต้นเตี้ยลงเหลือประมาณ 20 นิ้วต้นมีความสม่ำเสมอมาก ชุด Lady นี้มี 5 สีคือ Primrose Lady สีเหลืองอ่อน First Lady สีเหลืองใส ทั้งสองพันธุ์ได้ AAS ปี 1977 และยังมีพันธุ์ Deep Orange Lady สีส้มแก่ Gold Lady สีทอง และ Orange Lady สีส้ม

ดาวเรืองชุด Lady ใช้เป็นไม้ตัดดอกได้ดีด้วย และยังเป็นที่นิยมกันมากจนถึงปัจจุบัน เมื่อปี 1983 บริษัท Goldsmith ได้เสนอดาวเรืองที่ได้รับความนิยมมากอีกพันธุ์หนึ่งในปัจจุบันคือ พันธุ์ Incas ซึ่งให้ดอกใหญ่กว่าชุด Lady คือมีขนาดดอก 3.5 นิ้ว กลีบซ้อนมาก แม้เมื่อได้รับฝนก็จะไม่ขังบนดอกเนื่องจากกลีบดอกจัดเรียงกันแน่นในลักษณะลาดลงเล็กน้อย ต้นสูงเพียง 16 – 20 นิ้ว ลักษณะต้นกะทัดรัด และมีความสม่ำเสมอดีมากเป็นที่ยอมรับทั่วโลก Incas มี 3 สีคือ เหลืองสด ส้ม และทอง ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้ด้วย

ตัวอย่างพันธุ์อื่น ๆ จัดตามความสูงมีดังนี้ คือ

พันธุ์เตี้ยได้แก่ชุด Crush ความสูง 10 – 14 นิ้วชื่อตามสีของผลไม้เช่นมะละกอ (Papaya) สับปะรด (Pineapple) ฟักทอง (Pumpkin) และพันธุ์สีคละของผลไม้ ทั้งสามชื่อ Guys and Dolls Discovery ความสูง 8 – 10 นิ้ว มีพันธุ์สีเหลือง ส้ม และทอง ต้นเตี้ยมากและดอกซ้อนขนาดใหญ่ 4 นิ้ว

พันธุ์สูงปานกลาง ความสูง 14 – 16 นิ้ว ได้แก่ชุด Space Age ได้แก่ Voyager, Apollo, Viking และ Moonshot

พันธุ์สูง ความสูง 16 – 30 นิ้ว ได้แก่พันธุ์ Galore, Jubilee, Lady และ Perfection พันธุ์สูงมาก ความสูง 30 – 36 นิ้ว เหมาะสำหรับทำไม้ตัดดอก ได้แก่ ชุด Gold Coin เช่น Double Eagle สีส้มอ่อน Doubloon สีเหลือง และ Sovereign สีทอง ดอกของชุดนี้มีขนาด 3.5- 4.5 นิ้ว

พันธุ์ Climax มีสีเหลืองอ่อน สีเหลืองสด สีทอง และสีส้มแก่ ขนาดดอก 4 – 5 นิ้ว

พันธุ์ผสมเปิดได้แก่พันธุ์ Crackerjack เมล็ดราคาถูก มีสีต่างๆ เช่น สีครีม เหลืองสด สีทอง และสีส้ม ต้นสูง 36 นิ้ว ดอก 3.5 – 4 นิ้ว

เนื่องจากเมล็ดของดาวเรืองมี “หาง” ขณะนี้มีเมล็ดที่ตัดหางออก (detailed หรือ clipped seeds) ทำให้หว่านง่ายโดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องจักร ช่วยลดการเสี่ยงต่อการติดเชื้อราในดิน และได้จำนวนเมล็ดมากกว่าในหนึ่งหน่วยนํ้าหนักด้วย

เป้าหมายของการผสมพันธุ์ดาวเรืองอเมริกันนั้นต้องการต้นเตี้ย ดอกซ้อนแน่น ก้านดอกแข็งแรงเพื่อให้รับน้ำหนักดอกได้ดี มีทรงต้นสม่ำเสมอและให้ดอกเร็วขึ้นอีก นอกจากนี้ยังหวังว่าจะมีดาวเรืองอเมริกันที่มีสองสี (bicolors) ในราวปี 1992 นี้ด้วย

ดาวเรืองสีขาว

ดาวเรืองขาว

ในบรรดาบริษัทผลิตเมล็ดดอกไม้ทั้งหลาย เมล็ดดอกไม้จากบริษัทเบอร์พี (W.Atlee Burpee) ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในหลายบริษัทซึ่งผลิตเมล็ดไม้ดอกที่สามารถนำมาปลูกเลี้ยงได้ในสภาพเมืองเชียงใหม่ให้ดอกเป็นที่พอใจ

เมื่อปี พ.ศ. 2497 บริษัทเบอร์พี ประกาศให้รางวัลหนึ่งหมื่นเหรียญสหรัฐอเมริกา (2 แสนบาท) แก่คนที่ส่งเมล็ดดอกดาวเรืองสีขาว มีขนาดใหญ่ 2 นิ้วครึ่งให้กับบริษัท เจ้าของบริษัทมีความเชื่อว่า สีขาวเป็นสีที่ทุกสีมารวมกันได้ ถ้าได้ดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์มา มันก็อาจจะให้ลูกที่มีดอกสีใดก็ได้ในสเปกตรัม ใครๆ ได้ฟังก็ประหลาดใจเพราะปกติดาวเรืองมีสีเหลือง ส้ม แดงปนน้ำตาล อย่างดีที่สุดก็คงได้แค่สีเหลืองอ่อน จะหาให้ได้สีขาวบริสุทธิ์เลยคงจะยากมาก เนื่องจากสีขาวเป็นลักษณะด้อย และในด้านพันธุกรรม เข้าใจว่าลักษณะสีขาวของดอกถูกควบคุมโดยยีนส์มากคู่ โอกาสที่ยีนส์ทุกคู่จะแสดงออกพร้อมกันในลักษณะด้อยนั้นมีน้อยมาก

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2518 หลังจากมีผู้พยายามมา 21 ปีเต็ม มีผู้ส่งเมล็ดดาวเรืองที่ตัวเองคิดว่าขาวมาทั้งหมด 8,207 ราย Mrs. Alice Vonk อายุ 68 ปี ซึ่งในเรื่องนี้จะเรียกว่า คุณยายจากรัฐไอโอวาก็ได้รับรางวัลไป 2 แสนบาท

คุณยายทำอย่างไร จึงได้รับเงินรางวัล 2 แสนบาท ?

คุณยายชอบปลูกต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก มีความรู้เกรด 8 ทำงานรับจ้างเพื่อนบ้านตั้งแต่ออกจากโรงเรียน ได้รับเงินเดือนละ 2 เหรียญ ต่อมาก็แต่งงานมีที่ดิน 1 เอเคอร์ มีลูก 8 คน อยู่ในบ้านใหญ่ 1 หลัง คุณยายไม่มีความรู้ทางพันธุศาสตร์เลย ไม่เคยสนใจผสมพันธุ์ดอกดาวเรืองด้วย

นับแต่บริษัทเบอร์พี ประกาศให้รางวัลหมื่นเหรียญเมื่อปี 2497 คุณยายก็สนใจและคิดว่าจะพยายามหาดาวเรืองขาวให้ได้ แกเริ่มโดยใช้เมล็ด Primrose marigold (ดาวเรืองที่มีรูปดอกแบบคาร์เนชั่น มีสีเหลืองนวล ดอกใหญ่ขนาดสามนิ้วครึ่ง ต้นสูง 20 นิ้ว) เพื่อหาดอกที่มีสีอ่อนที่สุด และมีขนาดใหญ่ 2 นิ้วครึ่งตามที่บริษัทต้องการด้วย คุณยายใช้นํ้าฝนสะอาดรดต้นดาวเรือง เพราะกลัวว่าน้ำประปาจะมีแร่ธาตุที่จะทำให้มีสีไม่บริสุทธิ์ คุณยายพยายามมาเกือบ 20 ปีใน 2 ปีสุดท้ายจึงมีความหวังขึ้น แกคัดเลือกดอกที่มีสีใกล้สีขาวมากที่สุดและผูกด้ายแดงไว้ ถ้ามีสีใกล้เคียงก็ผูกด้วยด้ายเขียว ต้นที่เลือกต้องแข็งแรง และมีดอกใหญ่ด้วย เพราะถ้าก้านดอกเล็กเวลาฝนหรือลมมาจะหักง่าย ในปี 2517 คุณยายก็ส่งเมล็ดไปให้บริษัทเบอร์พีและเขียนจดหมายแนบไปว่านี่แหละขาวที่สุดเท่าที่เคยมี พร้อมกันนั้นก็มีผู้ส่งเมล็ดเข้าแข่งอีก 5 คน ทางบริษัทไม่สามารถตัดสินให้เด็ดขาดว่าของใคร “ขาว” ที่สุด และยังไม่เป็นที่พอใจนัก เดวิด เบอร์พีเจ้าของบริษัทและผู้ตัดสินอีก 2 คน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ไม้ดอกจากมหาวิทยาลัยในอเมริกา จึงให้รางวัลปลอบใจคนละ 100 เหรียญ (2 พันบาท)

คุณยายยังพยายามต่อไปโดยเปิดแคตาล็อกหาดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ เช่นแอสเตอร์ มาปลูกรอบๆ ดาวเรืองต้นเก่งของแก โดยเชื่อว่าถ้ามีสีขาวในบริเวณนั้น ดาวเรืองอาจจะดูดซับสีเข้าไปได้บ้าง มีคนบอกว่ามันไม่เกี่ยวกัน แต่คุณยายก็ไม่ฟัง ยังคงปลูกเลี้ยงแล้วผูกป้ายให้ดอกดาวเรืองสี “ขาว” ที่สุดของแกอย่างตั้งอกตั้งใจ

คุณยายเป็นคนโชคดี หลักการของแกคือ การคัดเลือกต้น (selection) นั้นเอง ซึ่งคนอื่นหลายพันคนก็พยายามทำอยู่ แต่โดยบังเอิญที่ว่า evolutionary drift ของสีขาวจำเพาะจะมาอยู่ในแปลงดอกไม้ของคุณยาย ทำให้แกได้ดอกไม้ที่มีสีขาวและได้รางวัลในปี 2518

เดวิด เบอร์พี เจ้าของบริษัทฯ สัมภาษณ์ว่าคุณยายไม่ได้เป็นผู้ผลิตดาวเรืองสีขาวขึ้นมา ทางบริษัทฯ เริ่มงานนี้มาตั้งแต่ปี 2463 โดยนักผสมพันธุ์พืชซึ่งเชี่ยวชาญในด้านพันธุกรรม และเริ่มขยายเมล็ดที่มีสีเหลืองอ่อนที่สุดออกไปทุกปีตั้งแต่ปี 2497 คุณยายได้ดาวเรืองสีขาวไปจากผลงานของบริษัทฯ หรืออีกนัยหนึ่ง คุณยายช่วยทำการคัดเลือกให้นั้นเอง เดวิดต้องการให้ผู้ซื้อมีโอกาสที่จะรับสิ่งที่ดีที่สุดด้วยตนเอง เขาคุยว่าขณะนี้ทางบริษัทฯ มีดาวเรืองที่มีสีขาวกว่าต้นที่จ่ายสองแสนบาทไปแล้วโดยเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ เป็นผู้ผสมพันธุ์ขึ้น และมีอยู่ตั้งแต่ก่อนจ่ายรางวัลเสียอีก แต่ทางบริษัทฯ ออกเงื่อนไขว่า รางวัลนี้จะให้แก่คนนอกเท่านั้น คุณยายจึงได้รางวัลในฐานะผู้ปลูกที่สามารถคัดเลือกดาวเรือง “ขาวที่สุด” ได้

เมล็ดดาวเรืองของบริษัทเบอร์พี มีชื่อพันธุ์ว่า Burpee’s Best Whites และดาวเรืองของคุณยายก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เนื่องจากเป็นเมล็ดผสม (mixture) และลักษณะสีของดอกยังคงมีการกระจายตัวอยู่ เมื่อคุณยายสั่งซื้อเมล็ดเป็นจำนวนมาก และเฝ้าเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดทำการคัดเลือกดอก และต้นด้วยตนเอง ประกอบกับเมล็ดดาวเรืองของคุณยายมีฐานยีนส์เป็นสีขาวอยู่แล้ว โอกาสที่ได้ดอกดาวเรืองขาวจึงมีมากขึ้น

เวลานี้ดาวเรือง มีสีขาวด้วย นอกจากสีเหลือง ส้ม น้ำตาลอมแดง เพราะในแคตตาล็อกบริษัทเบอร์พีประกาศว่า พบ “ดาวเรืองขาว” แล้ว

เมื่อมีโอกาสได้ส่งเมล็ดดาวเรืองขาวชื่อว่า Burpee’s First Whites (คือเมล็ด Brupee’s iest Whites นั้นเอง แต่บริษัทฯ เปลี่ยนชื่อให้เพราะคิดว่าจะมีการปรับปรุงพันธุ์เรื่อยๆ ก็เลยไม่ใช้คำว่า “Best”) มาเพาะเมื่อต้นเดือนมกราคม 2521 มีจำนวนต้นทั้งหมด 140 ต้น และวาดภาพไว้ล่วงหน้าว่าคงจะได้ดอกขาวสะอาดบานสะพรั่งทีเดียว

สามเดือนต่อมา ราวอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคม ดาวเรืองขาวของเบอร์พีก็บาน ลักษณะของดอกมีการกระจายเป็นหลายแบบ คือ ดอกมีขนาด 2 นิ้วถึง 2 นิ้วครึ่ง กลีบนอกๆ เป็นสีขาว แต่ส่วนมากใจกลางดอกมีสีนวลและอมเขียวด้วย บางดอกมีกลีบละเอียดซับซ้อนกันแน่น แต่บางดอกการซ้อนของกลีบมีน้อยมาก ทำให้ดูดอกแบน จำนวนดอกย่อยต่อต้นมี 4-5 ดอกที่บานพร้อมกันและมีดอกย่อยที่ยังตูมพร้อมจะบานรุ่น 2 อีก 4-5 ดอก ดอกรุ่น 3 มีขนาดเล็กเป็นพวกชั้นเดียวมีราว 7-9 ดอก เฉลี่ยความสูงของต้นราว 2 ฟุตครึ่ง ในจำนวน 140 ต้น ถ้าจะคัดแยกสีของดอกแล้วจะได้สี “ขาว” 60 ต้น สีออกนวลๆ 79 ต้น และมี 1 ต้นที่ดอกสีเหลืองอ่อน

ครั้งแรกออกจะรู้สึกผิดหวัง เพราะเคยคิดว่าดอกจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ แต่เมื่อพิจารณาดูนานๆ ก็ได้คิดว่าดอกไม้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผลงานของความพยายามเป็นเวลากว่า 20 ปี และความจริงดอกก็มีสีที่เรียกว่า “ขาว” เพียงแต่ไม่บริสุทธิ์เท่านั้น ลองนึกดูเถิดว่า ถ้าจะต้องหาดาวเรืองขาว ให้ได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มต้นจากดาวเรืองที่เราเห็นอยู่ทั่วไป คือ สีเหลือง สีทอง หรือแต่สีเหลืองอ่อน ของ Primrose marigold กว่าจะได้ดอกมีสีขาวเท่านั้น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเพียงไหน แต่เมื่อได้สีนี้แล้วเข้าใจว่าอีกไม่นานนักคงจะได้เห็นดาวเรืองสีขาวสะอาด ดอกมีกลีบซ้อนกันแน่น เพราะบริษัทเบอร์พี ทุ่มเงินในการปรับปรุงพันธุ์ดาวเรืองมากที่สุดในไม้ดอกทั้งหลายและสนับสนุนจะให้ ดาวเรืองเป็นดอกไม้ประจำชาติ (National Flower Emblem) ของอเมริกาด้วย