จากการทดลองเลี้ยงแมลงดานาเท่าที่สรุปผลแล้วมีดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1
ไข่ (Eggs) โดยการเก็บไข่แมลงดาที่มีอายุประมาณ 2-3 วัน ในบริเวณหลังเรือนเพาะชำของโรงเรียนเกษตรกรรมปราจีนบุรี ซึ่งมีขนาดกล้าง 0.1 ซม. ยาว 0.2 ซม. มีสีน้ำตาลเข้ม ปลายเป็นขีด ๆ และจุดที่ยอดใน 1 รังมีประมาณ 165-180 ฟอง ลักษณะการเรียงของไข่จะเรียงกันเป็นแถว ๆ จำนวนที่นำมาทดลองในครั้งนี้มี 6 รัง ด้วยกัน โดยไปหาไข่แมลงดาตามกอหญ้า เมื่อเห็นแล้วก็นำเอามาเลี้ยง โดยเอามาฟักในอ่างเคลือบมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ฟุต สูงประมาณ 2 ฟุต ในอางนี้ก็ใส่ดินลงไปสักครึ่งหนึ่งของอ่าง แล้วเอาน้ำใส่สูงประมาณ 3-5 นิ้วฟุต การปักไข่แมลงดาก็ปักให้สูงจากระดับน้ำประมาณ 1.5-.30 นิ้ว ถ้าหากปักต่ำเกินไปก็ไม่ดี เพราะไข่ก็จะไม่ฟักตัวในวันต่อ ๆ มาไข่ก็จะโตขึ้นเรื่อย ๆ และเปลือกไข่ก็จะมีสีจางลง
การออกจากไข่ พอในระยะประมาณ 5-7 วันไข่ก็จะมีขนาดกล้าว 0.35-.04 ซม. ยาว 0.45-0.5 ซม. และไข่นั้นก็จะเต่งเต็มที่ มีสีจางเป็นสีเทา ๆ บริเวณโคนไข่มีสีน้ำตาลเข้ม ปลายไข่เป็นขีดสีน้ำตาล ปลายสุดก็เป็นจุดสีน้ำตาล 1 จุด ต่อมาปลายยอดไข่ก็จะออกพร้อมกัน แทบทุกใบ คงจะมีบางฟองหลงเหลืออยู่บ้างแต่ก็มีเป็นจำนวนน้อย ตัวอ่อนนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาให้เห็นมี สีเหลือง และเห็นลูกตา 2 ข้างสีดำ แต่ยังไม่หลุดออกมาจากไข่ต่อมาสักประมาณ 5-6 ชั่วโมง ตัวอ่อนนั้นจะค่อย ๆ เบ่งตัวออกเองจากไข่ ในท่าหงายท้องร่วงลงในน้ำแทบจะพร้อม ๆ กัน เมื่อลงในน้ำแล้วมันจะหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ออกมาครั้งแรกตัวจะป้อม ๆ มีสีเหลืองนิ่มวัดได้ขนาดประมาณกว้าง 0.3 ซม. ยาว 0.8 ซม. พอระยะสัก 2-4 นาที ตัวอ่อนของแมลงดาก็จะขยายตัวทางด้านกว้างขนาดกว้างประมาณ 0.35 ซม. ส่วนทางด้านยาวก็คงเดิม การขยายตัวนี้คล้าย ๆ เราถูกกักขังอยู่นาน พอออกมาได้ก็ต้องเบ่งกันหน่อยละในทำนองนี้
รวมระยะในการฟักของแมลงดาประมาณ 7-8 วัน หลังจากออกมาจากเปลือกไข่แล้ว เปลือกของไข่ก็ยังคงติดอยู่กับกิ่งหญ้านั้นอย่างเดิม ขณะที่มันออกจากไข่และลงไปในน้ำ ตรงกลางสันหลังของมันจะสังเกตว่ามีฟองน้ำอยู่ มันจะลอยตัวอยู่เฉย ๆ และทำคล้าย ๆ จะรีดฟองน้ำออกจากตัวของมันทางก้น ที่เป็นเช่นนี้ก็คงเพราะต้องการให้น้ำซึมเข้าไปในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น และเพื่อต้องการที่จะดำน้ำได้นั่นเอง หลังจากสิ่งต่าง ๆ พร้อมแล้วมันก็จะดำลงไปในน้ำทันที ในระยะแรกมันคงจะไม่กินอาหารอะไรคิดว่าที่มันยังไม่กินอาหารนั้น เพราะมีไข่แดงที่เป็นอาหารสำรองอยู่ภายในท้องของมัน แล้วเหมือนกับลูกไก่ และลูกเป็ด ที่อยู่ได้ 2-3 วัน เพราะมีไข่แดงในร่างกายเพียงแต่ให้กินน้ำเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าเรานำอาหารให้แมลงดากินมันก็จะกิน แต่มันจะเริ่มกินอาหารหลังจากออกเป็นตัวแล้วประมาณ 12-14 ชม.
การเจริญเติบโต มันจะเจริญเติบโตโดยการลอกคราบ 5 ครั้ง จึงเป็นแมลงที่สมบูรณ์ หลังจากออกเป็นตัวแล้วมันจะเจริญเติบโต อย่างรวดเร็วมีขนาดประมาณ กว้าง 0.5 ซม. ยาง 1.0 ซม. ตัวอ่อนเมื่อออกครั้งแรกตัวจากสีเหลือง ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว สีเทา และเข้มขึ้นตามลำดับ ตามบริเวณศีรษะ ขา หลัง ในระยะใหม่ ๆ นี้มันจะดำผุด ดำว่ายขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนเด็ก ๆ ที่ชอบเล่นการว่ายน้ำมันก็เอาขาหน้าชี้ไปข้างหน้า ส่วนขา 2 คู่หลัง ก็จะทำเหมือนใบพายพายเรือ
การหายใจ มันจะว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วปลิ้นตัวเอาส่วนท้องหงายขึ้นและพลิกตัวกลับดำลงไปในน้ำแล้วขึ้นมาหายใจใหม่ เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ตามปรกติมันจะลอยตัวอยู่ในระดับผิวน้ำแล้วชูก้นขึ้น ทำมุม 55 องศา ที่ปลายก้นมีท่อคล้าย ๆ จะเป็นท่อหายใจขณะที่มันขึ้นมาหายใจมันจะลอยอยู่เฉย ๆ ทำท่าเหมือนตาย พอสักระยะหนึ่งพอสมควรมันก็จะดำลงในน้ำ ถ้ามันอยู่ในน้ำมันก็จะเกาะอยู่กับกอหญ้า หรือเศษไม้หรือพื้นดิน มันก็จะชูก้นของมันเสมออยู่กับผิวน้ำ
อาหาร ในวันแรกก็ทดลองให้ลูกน้ำ วันต่อมาก็เอาลูกกบหรือที่เราเรียกว่าลูกอ๊อดให้มันกินวันละ 1 ครั้ง
การจับเหยื่อ ลูกแมลงดามียุทธวิธีและมีความว่องไวในการจับเหยื่อนั้น อาหารที่มันโปรดก็ได้แก่ลูกอ๊อดก่อนที่มันจะจับเหยื่อ มันจะทำทีทำท่าอยู่ในลักษณะเฉย ๆ คืออยู่นิ่ง ๆ หรือในสภาพปรกติปล่อยให้ลูกอ๊อดว่ายน้ำเล่นไปมาให้ตายใจเสียก่อน และเมื่อผ่านมาในระยะที่พอเหมาะ ลูกแมลงดาก็จะพุ่งตัวออกไปหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว และใช้ขาหน้าที่เป็นขาจับ จับเหยื่อนั้นไว้แน่น หลังจากนั้นก็จะใช้ปากเจาะและดูดเข้าไปในผิวหนังของเหยื่อ ขณะที่มันเจาะนั้นมันจะปล่อยพิษออกมาเพื่อทำให้เหยื่อตาย เหยื่อนั้นก็จะดิ้นและค่อย ๆ อ่อนกำลังลงและตายในที่สุดมันจะดูดเหยื่อนั้นจนมีสีขาวซีดและเป็นเนื้อยุ่ย ๆ เมื่อมันอิ่มแล้วมันก็จะปล่อยเหยื่อทิ้งไป ลักษณะการจับเหยื่อนั้น มันจะลอยขึ้นมาผิวน้ำให้ก้นชูขึ้นทำระดับประมาณ 55 องศา เหมือนกับการหายใจของมัน มันจะเจาะดูดเหยื่อสักประเดี๋ยวเดียวมันก็จะดำลงไปในน้ำ พร้อมกับจับเหยื่ออย่างแน่นแล้วก็ขึ้นมาลอยตัวใหม่ มันจะทำเช่นนี้เรื่อย ๆ จนกว่ามันจะอิ่ม
การถ่ายเทน้ำ น้ำที่ใช้ควรจะเป็นน้ำตาม สระ คลอง บึง หรือน้ำในนา ควรจะเปลี่ยนน้ำ สักประมาณ 6-7 วันต่อครั้งก็จะดีเพราะว่าน้ำจะไม่เน่า
ระยะก่อนที่ลูกแมลงดาจะลอกคราบ
ในระยะนี้ตัวมันจะโตขึ้น อ่างที่เลี้ยงก็จะแคบลงมีเนื้อที่ ไม่เพียงพอ สำหรับจำนวนที่ออกเป็นตัวอ่อนชุดหนึ่ง ๆ ก็มีประมา 150-180 ตัว อาจจะมากกว่านี้ก็โตสักเล็กน้อย เมื่อมีจำนวนมาก ๆ เช่นนี้ก็จะต้องย้ายสถานที่ใหม่ โดยทำเป็นบ่อขุดกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 2 เมตร แล้วเอาผ้าพลาสติกรองที่ก้นบ่อ หลังจากนั้นก็เอาดินกลบและใส่ที่ก้นบ่อประมาณ 6-8 นิ้ว ความลึกของบ่อประมาณ 24 นิ้ว พร้อมกับเอากอหญ้ามาใส่เพื่อเป็นที่ให้มันเกาะ และเป็นที่หลบแดด หลบศัตรูได้สัก 2-3 กอ อาหารลูกกบก็ให้ 1 ครั้งต่อวัน ในระยะหลัง จากที่มันออกเป็นตัวแล้ว 8 วันจะมีขนาดประมาณกว้าง 0.5 ซม. ยาว 1.1 ซม. ลำตัวจะมีสีเข้มขึ้น เหตุที่ย้ายลงบ่อเพราะ
1. มีเนื้อที่ไม่เพียงพอกับจำนวนลูกแมลงดา
2. อาหารไม่พอมันก็จะกินกันเอง
ระยะที่ 2 การลอกคราบ ครั้งที่ 1
ก่อนลอกคราบตัวอ่อนจะมีขนาด ประมาณกว้าง 0.6 ซม. ยาว 1.0 ซม. และมีอายุได้ประมาณ 5-6 วัน ลักษณะตัวอ้วนป้อมมีสีเหลืองอมเขียว ระยะนี้มันจะไม่กินอาหารโดยจะอยู่นิ่ง ๆ และมักจะเกาะตามกอหญ้าหรือดำลงไปใต้น้ำนาน ๆ จึงจะโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ตัวอ่อนลอกคราบครั้งแรกนี้ จะออกมาทางด้านบริเวณ ต้นคอของตัวเก่าโดยต้นคอจะปริแยกออกแล้วตัวใหม่ ก็ออกมาเป็นตัวสีเขียวอ่อนอมเหลือง และมันก็จะทิ้งคราบน้ำเก่าให้ลอยเหนือน้ำ ตัวอ่อนนี้จะนิ่มมีขนาดใหญ่กว่าเดิม คือมีขนาดประมาณกว้าง 0.7 ซม. ยาว 1.5 ซม. การลอกคราบออกมาครั้งใหม่นี้ มันจะหยุดนิ่งอยู่กับที่สักระยะหนึ่งพอสักครู่มันก็จะเริ่มเคลื่อนไหวและว่ายน้ำดำน้ำและว่ายน้ำเล่นเหมือนเดิม ตัวก็จะเข้มขึ้นสำหรับอาหารลูกกบตามปรกติวันละ 1 ครั้ง รวมระยะเวลาจากตัวอ่อนจนถึงการลอกคราบครั้งแรก ประมาณ 12-14 วัน ระยะนี้ยังไม่มีปีก
ระยะที่ 3 การลอกคราบครั้งที่ 2
ต่อมาในระยะอีก 5-6 วัน ก็จะลอกคราบ ระยะนี้ลำตัวจะป้อม ๆ สีเหลืองอมน้ำตาลตัวอ่อนนิ่ม มันจะไม่ค่อยโผล่ขึ้นมาให้เห็น มีขนาดประมาณกว้าง 1.1-1.2 ซม. ยาว 2.4-2.5 ซม. รวมระยะเวลาลอกคราบจากครั้งที่ 1-2 ประมาณ 17-20 วัน ระยะนี้ยังไม่มีปีก
ระยะที่ 4 การลอกคราบครั้งที่ 3 ต่อมาอีก 5-6 วัน ก็ลอกคราบอีก
การลอกคราบ ในครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งที่ 1 และ 2 ตัวจะมีสีเขียว ต่อมาก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มีขนาดประมาณกว้าง 1.6-1.7 ซม. รวมอายุแล้วประมาณ 22-26 วัน ระยะนี้ก็ยังคงไม่มีปีก
ระยะที่ 5 ลอกคราบครั้งที่ 4
อีกประมาณ 5-6 วัน ก็มีการลอกคราบเป็นครั้งที่ 4 ปีกของแมลงดาในระยะนี้ก็ยังไม่มีการลอกคราบก็เหมือนกับครั้งก่อน ๆ ตอนนี้ตัวมีขนาดประมาณ กว้าง 2.5-2.6 ซม. ยาว 5.5-5.6 ซม. ตัวจะมีสีเขียวอมน้ำตาลเข้ม บริเวณลำตัวจะมีขนสีน้ำตาล รวมอายุประมาณ 27-32 วัน
ระยะที่ 6 การลอกคราบครั้งที่ 5 เป็นครั้งสุดท้าย
ในระยะนี้จะเป็นตัวแก่ที่สมบูรณ์ คือมีปีกและเหมือนแมลงดา ที่เราจับมากินเป็นอาหารตัวสีน้ำตาลด้านปลายสุดของปีกเป็นแผ่นบาง ๆ ใส ๆสีน้ำตาลและสีขาวใส มีขนาดประมาณกว้าง 2.5-2.6 ซม. ยาว 6.5-7.0 ซม. ในตัวเมีย ในตัวผู้มีขนาด ประมาณกว้าง 2.0-2.1 ซม. ยาว 5.0-5.1 ซม. รวมแล้วตั้งแต่เริ่มต้นคือไข่ เป็นตัวอ่อนที่ลอกคราบ 5 ครั้ง จนถึงตัวแก่ประมาณ 32-38 วัน
ศัตรูของแมลงดานา
1. ศัตรูด้วยกันเอง เป็นศัตรูที่สำคัญหมายถึงว่าถ้ามีอาหาร ไม่เพียงพอแล้วแมลงดานาก็จะเกิดกินกันเอง วิธีแก้ก็คือ หาอาหารให้มันอย่างเพียงพอ กับจำนวนของแมลงดานาที่เราเลี้ยง
2. มดดำ ในระยะที่มันกำลังฟักตัวใกล้จะออก มักจะมีมดดำเข้ามาไต่ตอม และกินไข่ที่กำลังฟักตัวเป็นอาหาร
3. เกิดเชื้อรา ถ้าหากไข่ที่เรานำมาฟักอยู่ใกล้น้ำเกินไปแล้ว ก็จะเกิดเชื้อราขึ้น รานี้มีสีขาว และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะลุกลามไปหมดทั้งรัง และไข่นั้นจะฝ่อเหี่ยว
4. เห็บ(Tiok) ก็เป็นศัตรูของแมลงดาตัวเต็มวัย เพราะมันจะเกาะบริเวณต่าง ๆ ของแมลงดา ส่วนมากจะเกาะบริเวณส่วนท้อง คอ
ประโยชน์ของแมลงดานา
1. ตัวผู้ใช้ปรุงรสอาหารในชีวิตประจำวัน ได้เป็นอย่างดีเพราะมีกลิ่นหอมฉุนแรง โดยผสมกับ น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาร้า ทำน้ำปลาแมลงดานา ซึ่งมีราคาแพงมากที่จังหวัดศรีษะเกษ ซื้อขายกันในราคา ขวดละ 50-80 บาท
2. ตัวเมีย ขณะที่ยังไม่ไข่จะไม่มีกลิ่นหอม หลังจากออกไข่แล้วจะมีกลิ่นหอม แต่หอมไม่มาก กลิ่นสู้ตัวผู้ไม่ได้ จึงเหมาะที่จะใช้ชุบแป้งทอดแล้วนำไปจิ้มกินกับน้ำจิ้ม
3. ไข่แมลงดานา นอกจากเราจะรับประทานตัวมันแล้วเรายังนำไข่ของมัน มารับประทาน หรือนำมาย่างไฟก็ได้ สำหรับเรื่องรสชาตินั้น ไม่ต้องพูดถึง กินสด ๆ จะมีรสมัน ๆ แต่ถ้า เอาไปย่างไฟเสียหน่อยแล้วจะมีทั้งรดมันและกลิ่นหอมเพิ่มขึ้นด้วย
4. การใช้ปรุงอาหาร
ในฤดูที่แมลงดานาหายากเช่น ฤดูแล้ง ควรจะนำแมลงดานามาดองแช่น้ำปลาไว้ สามารถเก็บไว้ได้นาน
บรรดาพี่น้องเกษตรกรในภาคอีสาน นิยมใช้แมลงดานา ปรุงรสอาหาร เพื่อช่วยให้อาหารมีรสชาติ แซ่บขึ้นดังวิธีต่อไปนี้
แจ่วแมลงดานา
1. เอาพริขี้หนูแห้งมาคั่วให้หอมแล้วตำให้ละเอียด
2. เอาแมลงดานามาย่างให้หอม(ปีกอ่อน ปีกแข็งเด็ดทิ้งไป)
เอาแมลงดานาที่ย่างไฟหอมดีแล้วตำผสมกับพริกป่น ให้เข้ากันแล้ว ต้มน้ำปลาแดก(ปล้าร้า) ผสมลงไปก็ใช้รับประทานได้
ซุปหน่อไม้
เอาแมลงดานาที่ย่างไฟหอมดีแล้ว มาตำให้ละเอียดใส่พริกป่นลงไปเติมน้ำปลาร้า(ปลาแดก)แล้วผสมลงในซุปหน่อไม้ รสแซ่บอีหลี ๆ
น้ำพริกมะเขือ
พริกชี้ฟ้าเผาไฟ ตำให้ละเอียด แล้วใส่แมลงดานาลงไป ตำให้เข้ากันใส่น้ำปลาร้าลงไปผสมกับมะเขือเปราะหรือมะเขือยาวที่ต้มให้เปื่อยแล้ว
5. ราคาแมลงดานา โดยทั่วไปตามท้องตลาด จะจำหน่ายในราคา ประมาณ 2.00-2.50 บาท สำหรับตัวผู้ ส่วนตัวเมีย ราคาตัวละประมาณ 50 สตางค์ ไข่แมลงดาก็ตกราคารังละ 50 สตางค์ ถ้าไม่ใช่ฤดูฝนราคาจะแพงขึ้นอีกซึ่งในการค้นคว้า ทดลองและค้นคว้าครั้งนี้ ยังได้ข้อมูลไม่เพียงพอ คิดว่าถ้าโอกาสและเวลาเอื้ออำนวย จะต้องทำการค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไปอีก เพื่อให้ข้อมูลต่าง ๆ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และก็คิดว่าคงจะมีการตั้งฟาร์มเลี้ยงแมลงดานาและมีการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นในอนาคตเป็นแน่
นับว่าคุณเอกชัย พฤกษ์อำไพ เป็นผู้ที่มีสายตาไกล สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ เพราะหลังจากที่ได้ทดลองเลี้ยงแมลงดานา เพียง 8 ปี ก็ได้มีการตั้งฟาร์มเลี้ยงแมลงดานาขึ้นเป็นแห่งแรกในภาคอีสานที่จังหวัดศรีสะเกษแล้วและต่อไป ก็คงจะมีการตั้งฟาร์มเลี้ยงแมลงดานากันทุกจังหวัดทุกภาค ซึ่งจะมีผลให้เกษตรกรมีอาชีพใหม่และมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก
สำหรับราคาแมลงดานาที่คุณเอกชัย พฤกษ์อำไพ เขียนไว้เมื่อ 8 ปีก่อน ตัวผู้ราคาตัวละ 2-2.50 บาท ตัวเมียตัวละ 50 สตางค์
ในปัจจุบันแมลงดานามีราคาสูงขึ้นกว่าเท่าตัวแล้ว คือเท่าที่สอบถามราคาจากพ่อค้าแม่ค้าแมลงดานาในกรุงเทพฯ หลายรายเมื่อปลายเดือน พฤศจิกายน 2527 ซึ่งเป็นช่วงที่แมลงดานามีราคาแพงแล้วราคาขายส่งตัวละ 5 บาท ราคาขายปลีกตัวละ 6-8 บาท ถ้ามีการเลี้ยงแมลงดานาส่งตลาดในช่วงฤดูแล้ง จะขายส่งหรือขายปลีกก็ขายได้ในราคาที่น่าพอใจวันยังค่ำ
พงษ์พันธ์ บุญไพโรจน์