พิสมัย ชวลิตวงษ์พร
กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร
เพลี้ยไฟทำลายพืชโดยดูดน้ำเลี้ยงจากส่วนเจริญของพืช เช่น ตา ใบอ่อน ดอก ทำให้เกิดอาการหงิกงอ เป็นคลื่น เกิดรอยด่างสีน้ำตาล และเหี่ยวแห้งตายในที่สุด
ความสำคัญและลักษณะการทำลาย
เพลี้ยไฟ เป็นแมลงขนาดเล็กในโลกนี้มีเพลี้ยไฟอยู่ทั้งหมดมากกว่า ๕,๐๐๐ ชนิด เพลี้ยไฟที่ลำลายพืชที่พบในประเทศไทย โดยทั่ว ๆ ไปมีขนาดลำตัวยาวประมาณ ๑-๒ มิลลิเมตรเท่านั้น(ขนาดของเพลี้ยไฟเท่าที่มีรายงานมีความยาวลำตัวประมาณ ๐.๕-๑๔ มิลลิเมตร แล้วแต่ชนิด)
เพลี้ยไฟทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยทำลายพืชโดยการดูดน้ำเลี้ยง โดยเฉพาะส่วนอ่อนหรือส่วนเจริญ เช่น ตา ใบอ่อน ดอก เป็นต้น ส่วนของพืชที่ถูกเพลี้ยไฟทำลาย สังเกตได้ง่าย ๆ คือ จะมีอาการหงิกงอ เป็นคลื่น มีสีขาวซีด หรือถ้ามีการทำลายรุนแรงส่วนนั้น ๆ จะเป้นรอยด่างสีน้ำตาล เหี่ยวแห้ง ถ้าทำลายดอกเพลี้ยไฟจะเริ่มเข้าทำลายตั้งแต่ยังเป็นตาดอก ทำให้ตาดอกเหี่ยวแห้ง ไม่ออกดอก การทำลายตั้งแต่เป็นดอกตูมจะทำให้ดอกมีรูปร่างผิดปกติกลีบดอกหงิกงอบิดเบี้ยและเล็กลงมากจนถึงเป็นรอยด่างสีน้ำตาล
เพลี้ยไฟเป็นแมลงศัตรูที่มีปัญหามาก โดยเฉพาะในการปลูกเลี้ยงไม้ดอกหลาย ๆ ชนิด เช่น กล้วยไม้ เบญจมาศ กุหลาบ เยอร์บีร่า มะลิ ดาวเรือง เป็นต้น เพลี้ยงไฟ นอกจากจะเคลื่อนที่โดยการเดิน บินแล้ว ยังอาศัยลมในการพัดพาไป
เพลี้ยไฟเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญที่สุดในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อการส่งออก ซึ่งประเทศไทยกำลังมีปัญหาทางด้านการกักกันพืชที่มีเพลี้ยไฟติดไปกับดอกกล้วยไม้และกระทบกระเทือนต่อการส่งออกดอกกล้วยไม้ของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโดยลักษณะรูปร่างภายนอกเพลี้ยไฟมีรูปร่างเรียวยาว ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีลักษณะคล้ายกันแต่ตัวอ่อนไม่มีปีก ซึ่งการแยกลักษณะชนิดของเพลี้ยไฟ ต้องอาศัยหลักการทางวิชาการค่อนข้างยุ่งยาก เพราะเป็นแมลงขนาดเล็ก ไม่สามารถแยกชนิดโดยดูลักษณะภายนอกด้วยตาเปล่า จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิเคราะห์ชื่อวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแน่นอน
บ่อยครั้งอาจจะพบเพลี้ยไฟมากกว่า ๑ ชนิด ทำลายพืชอยู่ด้วยกัน เช่น เพลี้ยไฟที่ทำลายในดอกเบญจมาศมี ๒-๓ ชนิด หรือบางครั้งบนพืชชนิดเดียวกันแต่ต่างท้องที่ก็อาจจะมีเพลี้ยงไฟต่างชนิดกัน เช่น เพลี้ยไฟในดอกกล้วยไม้ที่พบในเขตท้องที่ จ.นครปฐม จะเป็นคนละชนิดกับที่พบทำลายกล้วยไม้ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นต้น และเช่นเดียวกันเพลี้ยไฟชนิดใดชนิดหนึ่งอาจจะทำลายพืชมากกว่า ๑ ชนิดขึ้นไป เช่น เพลี้ยไฟ ชนิด Microcephalothriips abdominalis Crawford จะพบทำลายดอกเบญจมาศ รวมทั้งทำลายดอกและใบเยอร์บีร่า ดอกดาวเรือง และดอกแกลดิโอลัสด้วย
ดังนั้นเพื่อที่จะได้รู้จักเพลี้ยไฟมากขึ้น ได้รวบรวมชนิดของเพลี้ยไฟที่พบในไม้ดอกแต่ละชนิดเท่าที่วิเคราะห์ชื่ออย่างถูกต้องแล้วมีดังนี้
ชนิดของไม้ดอก |
เพลี้ยไฟที่พบทำลาย |
กล้วยไม้ | Thrips palmi Karny
Dichronothrips carbetti Priesner |
เบญจมาศ | Microcephalothrips abdominalis Crawford Thrips florum Schmutz Thrips apicatus |
กุหลาบ | Scirtothrips dorsalis Hood |
มะลิ | Thrips sp. |
เยอร์บีร่า | M.abdominalis |
ดาวเรือง | M.abdominalis |
แกลดิโอลัส | M.abdominalis
Thrips sp. |
สแตติส | Haplothrips gowdeyii (Franklin) |
ราตรี | Thrips sp.
Haplothrips sp. |
อัญชัน | Taeniothrips cucharii Whetzel |
รูปร่างลักษณะและชีวประวัติ
เพลี้ยไฟมีชีวประวัติค่อนข้างแตกต่างกับแมลงชนิดอื่น ๆ แต่ละชั่วอายุขัย กินเวลารวดเร็วมาก การขยายพันธุ์จึงเป็นไปได้ง่ายรวดเร็ว โดยเฉพาะในที่ที่มีอากาสร้อน เช่น ในประเทศไทยเรา สำหรับระยะการเจริญเติบโตของเพลี้ยไฟ โดยทั่วไปมีดังนี้ คือ
ตัวเมียจะวางไข่ ซึ่งมีขนาดเล็กมากในเนื้อเยื่อของพืช ซึ่งแม้ว่าจะดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ บางครั้งก็มองไม่เห็น
ไข่ มีอายุประมาณ ๓-๔ วัน
ตัวอ่อน จะฟักออกจากไข่ ตัวอ่อนอาจมี ๒ ระยะเรียกว่าตัวอ่อนระยะที่ ๑ และตัวอ่อนระยะที่ ๒ มีรูปร่างเรียวแหลมสีเหลือง สีแดง หรือสีดำ แล้วแต่ชนิด อายุตัวอ่อนประมาณ ๔-๔ วัน
ระยะก่อนเข้าดักแด้ มีลักษณะเหมือนตัวอ่อนแต่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว สังเกตได้โดยหนวดจะหดสั้นและชี้ตรงไปข้างหน้า ระยะนี้กินเวลาไม่เกิน ๑ วัน
ระยะดักแด้ มีแผ่นปีก ๒ คู่ หนวดจะงอชี้กลับไปข้างหลังเหนือศีรษะไม่ค่อยเคลื่อนไหว ระยะนี้กินเวลาประมาณ ๑-๒ วัน
ตัวเต็มวัย มีรูปร่างเหมือนตัวอ่อน มีปีก ๒ คู่ แต่บางครั้งปีกของตัวผู้จะหดสั้นเป็นตุ่มปีกเท่านั้น อย่างไรก็ดีเพลี้ยไฟสามารถแพร่พันธุ์ได้ทั้งแบบมีเพศ (เพศเมียต้องผสมพันธุ์กับเพศผู้แล้ววางไข่) และแบบพรหมจรรย์ (เพศเมียวางไข่ได้โดยไม่ต้องผสมกับเพศผู้)
การแพร่กระจายและฤดูกาลระบาด
เพลี้ยไฟจะระบาดทำลายรุนแรงในฤดูร้อนหรือสภาพอากาศร้อนแห้งแล้ง โดยเฉพาะในระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม แต่อย่างไรก็ตามในสภาพบ้านเรา การขยายพันธุ์หรือการระบาดของเพลี้ยไฟมีได้ตลอดปี แต่อาจจะรุนแรงเป็นระยะ ๆ
การป้องกันกำจัด
การป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ โดยทั่ว ๆ ไป วิธีการอื่น ๆนอกจากการพ่นสารฆ่าแมลงยังไม่รายงานว่าใช้ได้ผลแต่อาจจะใช้
๑. กับดักกาวเหนียวสีเหลือง แขวนหรือปักไว้ในสวนเพื่อตรวจสอบดูว่า เริ่มมีการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟในแปลงพืชหรือยัง ซึ่งช่วยได้ในแง่การทำนายการระบาด นอกจากนี้กับดักยังใช้ในการศึกษาข้อมูลอื่น ๆ ของเพลี้ยไฟด้วย
๒. ถ้ามีการระบาดทำลายมาก และจำเป็นต้องใช้สารเคมีให้ใช้ชนิดใดชนิดหนึ่งคือสารคาร์โบซัลแฟน (พอสซื ๒๐ ℅อีซี) อัตรา ๓๐-๕๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร สารโปรไธโอฟอส (โตกุไธออน ๕๐℅อีซี) อัตรา ๒๐-๓๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร และสารเบนฟูราคาร์บ (ออนคอล ๒๐℅อีซี) อัตรา ๕๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร เป็นต้น และเนื่องจากเพลี้ยไฟมีวงจรชีวิตสั้นมากในระยะที่มีการระบาดค่อนข้างสูง จึงควรพ่นสารเคมีค่อนข้างถี่ คือประมาณ ๔-๕ วันครั้งติดต่อกัน ๒-๓ ครั้งหรือจนกว่าการระบาดจะลดลง
ถ้าพืชถูกทำลายมากจะเหี่ยวแห้ง หงิกงอ ยอดอาจไม่เจริญ ควรจะพ่นปุ๋ยทางใบไปพร้อมกันด้วยเพื่อช่วยให้พืชฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เนื่องจากเพลี้ยไฟบินในเวลากลางวันในช่วงเช้าจนถึงบ่ายคือเริ่มพบเพลี้ยไฟมากในช่วง ๘.๐๐-๑๓.๐๐ น. สูงสุดในเวลา ๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ น. หลังจากนี้จะพบเพลี้ยไฟน้อยลงโดยเฉพาะในเวลา ๑๘.๐๐-๐๖.๐๐ น. จะพบน้อยมาก ดังนั้นในการพ่นสารฆ่าแมลงในการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟโดยเฉพาะในรังกล้วยไม้ ซึ่งโรงเรือนมีการพรางแสงอยู่แล้วจึงควรจะพ่นในระยะเวลาเช้า คือในระหว่างเวลา ๐๘.๐๐-๑๐.๐๐ น. ทั้งนี้เพื่อให้สารฆ่าแมลงมีโอกาสถูกตัวเพลี้ยไฟได้โดยตรง
บรรณานุกรม
๑. พิสมัย ชวลิตวงษ์พร ๒๕๒๘ เพลี้ยไฟ-แมลงตัวเล็ก ๆ กองกีฏและสัตววิทยา ๗(๑) : ๔๒-๔๖
๒. พิสมัย ชวลิตวงษ์พร ๒๕๒๙ เพลี้ยไฟกล้วยไม้ กสิกร ๕๙(๕) : ๔๒๐-๔๒๓