แหล่งปลูกกุหลาบส่งออก

กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่รู้จักและปลูกในเมืองไทยมานานแล้ว แต่ที่มีหลักฐานว่าได้มีการปลูกกันอย่างจริงจังนั้น ได้เริ่มขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (รัชกาลที่ 5) แต่การปลูกกุหลาบในสมัยนั้นเป็นการปลูกแบบปลูกประดับมากกว่าที่จะปลูกตัดดอกจำหน่ายเป็นการค้าดังเช่นที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มักจะปลูกกันอยู่ในวงราชการชั้นผู้ใหญ่ และพันธุ์ที่ปลูกกันอยู่ก็มีเพียงไม่กี่พันธุ์ ผู้ที่อยู่ในวงการกุหลาบคงได้ยินชื่อกุหลาบบางพันธุ์ที่ตั้งขึ้นเป็นภาษาไทยในสมัยนั้น เช่น พันธุ์จุฬาลงกรณ์ พันธุ์เหลืองเรณู พันธุ์เหลืองเชียงใหม่ เป็นต้น ปัจจุบันพันธุ์เหล่านี้ก็พอที่จะหาได้ แต่ก็มีน้อยหรือหายากเต็มที เพราะเป็นพันธุ์กุหลาบที่เพิ่งได้รับกาปรับปรุงขึ้นในสมัยต้น ๆ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับพันธุ์กุหลาบที่ปลูกกันอยู่ในปัจจุบันแล้ว จะมีความสวยงามแตกต่างกันมากทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การปลูกกุหลาบในสมัย ร.5 นี้ ได้รับความนิยมอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในระยะต่อมาก็ได้ซบเซาแล้วกลับได้รับความนิยมขึ้นอีก เป็นพัก ๆ ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดมาจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2496 หรือประมาณ 20 ปีที่แล้วมานี้ กุหลาบก็กลับได้รับความนิยมขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้มีการปลูกกุหลาบกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันยิ่งขึ้น จนกระทั่งได้เกิดมีการปลูกกุหลาบตัดดอกเพื่อจำหน่ายขึ้นเป็นครั้งแรก และได้ทำการปลูกกันเรื่อยมาตั้งแต่สมัยนั้น การปลูกกุหลาบตัดดอกในระยะต้น ๆ ได้ดำเนินมาอย่างช้า ๆ ทั้งนี้เพราะมีผู้ปลูกอยู่เพียง 1-2 รายเท่านั้น การขยายตัวส่วนใหญ่มักเป็นการขยายเนื้อที่ปลูก โดยผู้ปลูกที่ทำอยู่เดิม แต่สำหรับผู้ปลูกรายใหม่ ๆ แล้วหายาก ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะ

1. การปลูกกุหลาบตัดดอก ผู้ปลูกจะต้องมีความรู้พอ ทั้งด้านการปลูกและดูแลรักษา

2. ผู้ปลูกกุหลาบจะต้องลงทุนสูง เพราะกิ่งพันธุ์ในสมัยนั้นยังมีราคาแพงมาก จึงเป็นการเสี่ยงอย่างมาก สำหรับผู้ปลูกรายใหม่ ดังนั้นจึงหาผู้ที่จะเสี่ยงในอาชีพนี้ได้ยาก

3. การขยายพันธุ์กุหลาบในสมัยนั้น ทำได้ช้า เพราะการขยายพันธุ์กุหลาบทำกันได้วิธีเดียว คือ การตอนกิ่ง กุหลาบพันธุ์ดี ๆ บางพันธุ์มักจะออกรากยาก และเสียหายมาก

ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว จึงทำให้อาชีพในการปลูกกุหลาบตัดออกในระยะต้น ๆ นั้น ไม่ขยายตัวเร็วเท่าที่ควร ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันนี้แล้ว แตกต่างกันมาก

การปลูกกุหลาบตัดดอกในปัจจุบัน ได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านจำนวนผู้ปลูก และเนื้อที่ที่ทำการเพาะปลูก เฉพาะอำเภอสามพรานแห่งเดียว ประมาณกันว่ามีเนื้อที่ปลูกกุหลาบตัดดอกถึง 300 ไร่ หรืออาจมากกว่านี้ เฉพาะที่จำหน่ายพันธุ์ให้แก่ผู้ปลูกรายใหม่ในปี นี้ (พ.ศ.2516) ประมาณว่าราว 1 แสนต้น การที่มีผู้นิยมปลูกกุหลาบตัดดอกกันมากในระยะนี้ อาจพิจารณาได้ดังนี้ :

1. ชาวสวนเองอาจมองเห็นแล้วว่า การปลูกกุหลาบตัดดอกสามารถให้ผลกำไรดีกว่าปลูกพืชอื่น เมื่อเปรียบเทียบกับพืชเดิมที่เคยปลูกอยู่แล้ว เช่น การปลูกผักหรือผลไม้ นอกจากนี้ การปลูกกุหลาบยังไม่ต้องปลูกบ่อย ๆเหมือนปลูกผัก และยังมีรายได้เข้าสวนทุก ๆ วันอีกด้วย

2. ชาวสวนมีความรู้กว้างขวางขึ้น เพราะ มีหน่วยราชการให้ความรู้ในการปลูกปฎิบัติที่ใหม่ ๆอยู่เสมอ ๆ ทำให้การปลูกได้ผลดียิ่งขึ้น

3. การขยายพันธุ์ทำได้เร็วและทำได้คราวละมาก ๆ เช่นมีการขยายพันธุ์ด้วยการตัดชำ ซึ่งสามารถทำได้คราวละเป็นหมื่น ๆ กิ่งในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังขยายพันธุ์โดยวิธีติดตา ซึ่งทำได้เร็วและได้ต้นที่มีคุณภาพดี ทำให้ราคากิ่งพันธุ์มีราคาถูก เปิดโอกาสให้มีผู้เสี่ยงในอาชีพนี้มากขึ้น

4. มียาที่ทันสมัยซึ่งสามารถที่จะใช้ป้องกัน และกำจัดโรคแมลงอย่างได้ผล ซื้อหาได้ง่าย และมีราคาถูกคุ้มที่จะลงทุน

ด้วยเหตุนี้ จงทำให้มีผู้นิยมปลูกกุหลาบตัดดอกกันมากในระยะนี้

แหล่งปลูกเพื่อการส่งดอกกุหลาบไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ

ก. ต้องมีอุฌหภูมิของอากาศต่ำหรือมีอากาศเย็นพอที่จะช่วยให้ขนาดดอกโตขึ้น กลีบดอกแข็งและทนขึ้น ก้านดอกยาวขึ้น และสีของดอกดีขึ้น เฉพาะในฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ควรจะมีความเย็นของอากาศเฉลี่ยในเวลากลางคืนประมาณ 65°ฟ. และเวลากลางวันประมาณ 70°ฟ. หรือไม่เกิน 75°ฟ. เพราะในช่วงเดือนดังกล่าวนี้เป็นเดือนที่ตลาด ต่างประเทศต้องการดอกไม่มาก และในบ้านเราเองก็มีอากาศเย็นพอที่จะทำให้คุณภาพของดอกกุหลาบได้ขนาดมาตรฐานที่จะส่งไปตลาดต่างประเทศได้ ถ้าได้เลือกแหล่งปลูกและมีการดูแลและปลูกปฏิบัติได้ถูกต้อง

ข. จะต้องมีสภาพดินร่วนหรือดินปนทรายซึ่งล้วนใหญ่เป็นดินในที่ดอน ที่ทำการปลูกพืชไร่ ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการใช้เครื่องมือทุ่นแรงในการเตรียมดิน ตลอดจนการขุดย้ายและการขยายพันธุ์ในแปลงปลูกกลางแจ้ง เพราะการ ปลูกกุหลาบดังกล่าวนี้ จะปลูกเหมือนกับการปลูก เพื่อส่งตลาดภายในประเทศไม่ได้

ค. อยู่ใกล้ท่าอากาศยานที่จะจัดส่งดอกไปต่างประเทศพอสมควรหรือสามารถที่จะจัดส่งดอกกุหลายไปถึงมือผู้ใช้ในต่างประเทศหรือตลาดย่อยที่จัดจำหน่ายดอกถึงมือผู้ใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการตัดดอก นั่นหมายถึงรวม เวลาในการดัดดอก การคัดขนาด การเก็บเย็น (Cool treatment) 6-12 ชั่วโมง การบรรจุหีบห่อ การกักกันโรคแมลง การขนส่งไปท่าอากาศยาน เวลาการเดินทางของเครื่องบินถึงตลาดร่วมในต่างประเทศ และจากตลาดร่วมจึงจะจ่ายไปยังตลาดย่อยและถึงมือผู้ใช้

สรุปแล้ว แหล่งที่พอจะปลูกกุหลาบส่งตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดยุโรปนั้น เท่าที่พอเห็นว่าจะทำได้ในขณะนี้คือบริเวณอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา, จังหวัดกาญจน­บุรีบางท้องที่, บริเวณแคมป์สน จังหวัดเพชร­บูรณ์, และบริเวณตอนเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่จะมีท่าอากาศยานระหว่างประเทศในอนาคตนั้น มีโอกาสดีมากสำหรับอาชีพการปลูกกุหลาบตัดดอก เพื่อส่งตลาดต่างประเทศเป็นอย่างมาก