ไม้ดอกล้มลุก:ลิ้นมังกร

ลิ้นมังกร

ชื่อวิทยาศาสตร์ Antirrhinum majus (An-tir-RYE-num MAJ-us)

ชื่อสามัญ Snapdragon

วงศ์ Scrophulariaceae

ถิ่นเดิม ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน และอเมริกาเหนือ

ความสูง พันธุ์เตี้ย 8 – 12 นิ้ว

พันธุ์กลาง 12 – 24 นิ้ว

พันธุ์สูง 30 นิ้วขึ้นไป

จำนวนเมล็ดในหนึ่งกรัม 7,000

สี ทุกสีเว้นสีฟ้า

Antirrhinum majus

เวลาจากเพาะเมล็ดจนให้ดอก 10-16 อาทิตย์

ลิ้นมังกรมีเมล็ดเล็กและต้นกล้าโตช้า การปลูกต้องหว่านเมล็ดในกระบะเพาะแล้วย้ายออกไปปลูกในแปลง ดินที่ปลูกต้องเป็นดินดี ระบายน้ำดี และที่ปลูกควรมีแดดจัด แต่ไม่มีลมแรง มิฉะนั้นช่อดอกจะหักง่าย พวกต้นเตี้ยออกดอกพราวมีสีต่างๆ พวกต้นสูงต้องใช้วัสดุค้ำต้นและช่อดอก ถ้าใช้ปลูกประดับแล้วเห็นวัสดุคํ้า เช่น ไม้ไผ่หรือเชือกตาข่ายจะดูขัดตา แม้จะทาสีไม้ค้ำด้วยสีเขียวให้กลืนไป กับสีต้นและใบก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเท่าใดนัก พวกต้นสูงจึงเหมาะเป็นไม้ตัดดอกมากกว่า

ลิ้นมังกรต้องการอากาศเย็น ถ้าอากาศไม่เย็นพอจะได้ช่อดอกสั้นและจำนวนดอกในช่อน้อย ผู้ที่มาจากรุงเทพฯ จะตื่นเต้นกับลิ้นมังกรที่บานในสภาพอากาศเชียงใหม่ ยิ่งถ้าปลูกในสภาพบนดอยแล้วลิ้นมังกรจะให้ช่อดอกยาวและสีสด สวยกว่าที่ปลูกในตัวเมืองเชียงใหม่ ดังนั้นการปลูกลิ้นมังกรจึงต้องเพาะเมล็ดกะให้ได้ดอกบานในฤดูหนาวเท่านั้น ถ้าเด็ดยอดจะทำให้ต้นแตกข้าง ให้ช่อดอกมากขึ้น แต่มีขนาดเล็กและสั้นกว่าเมื่อไม่เด็ดยอด การรดนํ้าควรให้ที่โคนต้นเท่านั้นไม่ควรให้เปียกใบเพราะจะทำให้เป็นโรคได้ง่าย ถ้าจะใช้เป็นไม้ตัดดอกให้ตัดเมื่อดอกล่างบานได้ 6-10 ดอก ถ้าตัดเร็วไปดอกที่บานทีหลังจะมีขนาดเล็กและสีไม่สวย ถ้าตัดช้าไปดอกล่างจะเหี่ยวก่อนดอกบนบานหมด เมื่อตัดแล้วให้วางช่อดอกตั้งขึ้นโดยตลอด ถ้าวางนอนปลายช่อดอกจะโค้งงอขึ้นและไม่คืนอีก

ลิ้นมังกรมีดอก 2 ชนิดคือ พวกแรกมีลักษณะ snapping คือถ้าบีบข้างดอก กลีบบนและล่างจะแยกออกจากกันคล้ายเวลาเราบีบแก้มเด็ก เด็กจะอ้าปาก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อสามัญว่า Snapdragon ดอกชนิดนี้เรียกว่า ดอกมาตรฐานหรือ standard

อีกพวกหนึ่งมีกลีบดอกแบนกว้างเห็นคอดอกชัดเจน ดอกใหญ่บานได้นานแต่ไม่มีลักษณะ snapping ทำให้ไม่สมชื่อ ดอกชนิดหลังนี้เรียกว่า ดอกแบบอเซเลีย (Azalea flowered) หรือดอกแบบผีเสื้อ (Butterfly flowered)

ถ้าจัดลิ้นมังกรตามความสูงจะได้ 4 กลุ่มดังนี้

1. พวกต้นเตี้ยหรือแคระ (dwarf) ต้นสูง 6 – 12 นิ้ว ใช้เป็นไม้ดอกปลูกตามขอบแปลงหรือปลูกในแปลงได้ดีมาก ต้นหนึ่งมีประมาณ 20 – 25 ช่อเล็กๆ เช่นพันธุ์ Floral Carpet มีดอกแบบมาตรฐาน พันธุ์สีชมพู ได้ AAS ปี 1965 ต่อมามีการปรับปรุงพันธุ์ได้พันธุ์ Floral Showers มีสีต่างๆ และบานได้พร้อมๆ กัน ช่อดอกยาวประมาณ 6 – 8 นิ้ว ต้นสูง 8 – 10 นิ้ว

ชุด Silks ให้ดอกเร็วกว่าและเมล็ดราคาถูกกว่า Floral Carpet ช่อดอก ยาว 6-8 นิ้ว ต้นสูง 8 – 10 นิ้ว

Kolibri ต้นเตี้ย 6 นิ้ว สีต่างๆ

นอกจากนี้ ก็มีพันธุ์ Tom Thumb, Little Gem, Pixie และ Tahiti เป็นต้น

2. พวกกึ่งเตี้ย (semi dwarf) สูง 12 – 14 นิ้ว ช่อดอกเหมาะสำหรับปักแจกัน การปลูกไม่ต้องคํ้าต้น

Little Darling มีดอกชนิด butterfly ได้ A AS 1971

Sweetheart มีดอกชนิด butterfly เช่นเดียวกัน

Princess White with Purple Eye มีดอกแบบ standard ช่อดอกยาว 6 นิ้ว ให้ดอก 2 สีคือ กลีบดอกขาวมีปากสีม่วงสด ต้นสูง 14 – 16 นิ้ว ผู้สร้างพันธุ์คือ Akio Atoh แห่งบริษัท Takii นิสัยและลักษณะดอกผันแปรตามสภาพอากาศที่ปลูก บางครั้งมีต้นเตี้ยมาก พันธุ์นี้ได้ AAS 1986

ต่อมาในปี 1988 มีพันธุ์ Princess Yellow with Red Eye กลีบดอกสีเหลืองปากสีแดง

3. พวกสูงปานกลาง (medium tall) ต้นสูง 18 – 24 นิ้ว เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในสวน ถ้าที่ปลูกไม่มีลมแรงไม่จำเป็นต้องคํ้า

Coronette มีดอกแบบ standard ช่อยาว ก้านหนา มี 9 สี ต้านทานโรคราสนิมได้ดี โดยเฉพาะสีขาว สีบรอนซ์และสีแดงลูกเชอรี่

Bright Butterflies ได้ AAS ปี 1966 ใช้เป็นไม้ตัดดอกได้ดี

Cinderella ดอกแบบ standard สีสดสีต่าง ๆ ต้นหนึ่งให้ 10 – 20 ช่อ

4. พวกต้นสูง (tall) ต้นสูง 30 – 40 นิ้ว การปลูกต้องใช้ไม้คํ้าต้น ใช้เป็นไม้ตัดดอกหรือปลูกตรงกลางแปลงใหญ่ และใช้พันธุ์เตี้ยปลูกถัดออกมาจนถึงขอบแปลงได้สวยดี

Wedding Bells ดอกแบบ butterfly ความสูง 33 นิ้ว

Madame Butterfly สูง 30 นิ้ว ได้ AAS ปี 1970 มีดอกแบบ butterfly ขนาดใหญ่ ดอกไม่ร่วงง่าย ใช้เป็นไม้ตัดดอกได้ดีมาก

Rocket มีดอกแบบ standard สีต่างๆ ต้นแข็งแรงทำเป็นไม้ตัดดอกหรือปลูกไว้ข้างหลังได้ดี

พวกดอกซ้อนได้แก่ชุด Double Supreme ได้แก่

Crimson Supreme สีแดง

Super Jet สีเหลืองสด

White Supreme สีขาว

Vanguard สีชมพู มีเรื่อเหลืองที่ปาก ได้ AAS ปี 1957