ขนุน จัดเป็นไม้ผลเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย มาเลเซียและในเขตที่มีฝนตกค่อนข้างมาก ความชื้นสูง เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10-25 เมตร ในบ้านเราขนุนจัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกกันหลายสายพันธุ์ เช่น ขนุนละมุด ขนุนหนัง ขนุนจำปาดะ เป็นต้น
นับแต่โบราณคนไทยจะปลูกขนุนไว้ท้ายบ้าน ด้วยความเชื่อที่ว่า การปลูกขนุนจะทำให้มีคนมาคอยอุดหนุนจุนเจือครอบครัว นอกเหนือจากชื่อที่เป็นสิริมงคลแล้ว ขนุนยังถือเป็นไม้เอนกประสงค์ที่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้นอีกชนิดหนึ่ง โดยแก่นรากและใบ-ใช้รักษาอาการต่าง ๆ เช่น แก้ท้องเสีย ลดไข้ ยาง-ใช้รักษาแผลเรื้อรังมีหนอง ขับพยาธิ หรือนำไปผสมกับยางไม้อื่นใช้ดักนก ผลอ่อน-มีรสฝาด สมาน รักษาอาการท้องเสีย ผลสุก-บำรุงกำลัง ช่วยระบายอ่อน ๆ เมล็ด-ช่วยขับน้ำนม บำรุงร่างกาย เนื้อไม้และขี้เลื่อย-นำมาต้มกับน้ำใช้ย้อมผ้า หรือทำเครื่องเรือน
ส่วนที่นำมาใช้ประกอบอาหาร
ชาวเหนือและชาวอีสาน มักนำใบอ่อน ยอดอ่อนมารับประทานเป็นผักทั้งแบบสดและลวกน้ำร้อน แต่ที่นิยมมากก็คือจะนำลูกขนุนที่อ่อนมาปรุงเป็นแกง หรือทำซุบบักมี่ หรือไม่ก็นำไปต้มจิ้มน้ำพริก
ลักษณะใบ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกจากกิ่งแบบสลับ รูปร่างยาวรี ผิวใบเป็นมันสีเขียวเข้ม จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและร่วงหล่นเมื่อแก่
ลักษณะดอก ดอกออกเป็นช่อ ดอกตัวผู้แยกจากดอกตัวเมีย โดยดอกตัวผู้มักออกตามปลายกิ่งอ่อนทั้งสองข้าง มีกลีบชั้นนอก 2 อันยาวรีเหมือนกาบดอก มีเกสรตัวผู้ 1 อัน ส่วนดอกตัวเมียจะออกตามลำต้นและกิ่งแก่ ยอดเกสรเป็นหนามแหลม มีขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้แต่มีจำนวนดอกน้อยกว่า
ลักษณะผล ขนาดของผลแตกต่างตามพันธุ์ใน 1 ผล มีหลายเมล็ด เปลือกมีหนามสั้น ๆ ไม่แหลมคมเมื่อผลอ่อนผิว เปลือกและหนามมีสีเขียวอ่อนแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลเมื่อผลแก่ ส่วนสีเนื้อก็ขึ้นอยู่กับพันธุ์เช่นกัน เช่น สีเหลืองอ่อน เหลืองแก่และสีดอกจำปา
วงศ์ Moraceae
ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus heterophyllus Lamk
ชื่อพื้นเมือง ขนุน(ทั่วไป) บักมี่(อีสาน) ยะนู(ของจันทบุรี) นอกอ(มลายู-ปัตตานี) หมากกลาง(ชานแม่ฮ่องสอน)
ส่วนขยายพันธุ์ ใช้เมล็ด
ฤดูกาล ปลูกได้ตลอดปี ต้องการแสงอย่างน้อย ครึ่งวัน
คุณค่าสารอาหาร
คุณค่าสารอาหารของผลขนุนอ่อน ในส่วนที่กินได้ 100 กรัมประกอบด้วย
สารอาหาร ปริมาณ/หน่วย
พลังงาน 22 กิโลแคลอรี่
น้ำ 88.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 1.7 กรัม
โปรตีน 1.6 กรัม
ไขมัน 1.0 กรัม
เยื่อใยอาหาร 6.7 กรัม
เถ้า 0.7 กรัม
แคลเซียม 8 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.5 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 1 หน่วยสากล(IU)
วิตามินบี 1 0.49 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.05 มิลลกรัม
วิตามินซี 15 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0 มิลลิกรัม
ที่มา: กองโภชนาการ กรมอนามัย 2535
วิธีการปลูก
1. เพาะเมล็ดของผลแก่ลงในกระถางหรือถุงเพาะชำขนาด 5×8 ซม. รดน้ำทุกวันจนงอกให้แตกใบจริง สัก 3-4 ใบ
2. นำลงไปปลูกในหลุม โดยขุดหลุมกว้างและลึก 30 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
3. ใช้ดินกลบทับปุ๋ยเล็กน้อยก่อนปลูก แล้วกลบดินรอบโคนต้น หาเศษหญ้าแห้งหรือฟางปิดหนาประมาณ 2 ซม.
เอกสารอ้างอิง: ไม้เอนกประสงค์กินได้ สภาวิจัยแห่งชาติ คณะกรรมการสาขา เกษตรศาสตร์และชีววิทยา เฟื่องฟ้าพริ้นติ้ง 2540: ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 2538