ปุ๋ย หมายถึง วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดในดินที่จะกลายเป็นอาหารของพืช ทำให้พืชเจริญงอกงาม และช่วยปรับปรุงคุณภาพของดินให้ดีขึ้น ปุ๋ยแบ่งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยวิทยาศาสตร์
ปุยอินทรีย์ คือ ปุ๋ยที่ได้จากเศษพืช สิ่งที่มีชีวิต และสิ่งขับถ่ายต่างๆ ของสัตว์ ปุ๋ย อินทรีย์มีประโยชน์มากและควรที่เกษตรกรจะใช้กันทั่ว ๆ ไปเพราะ ปุ๋ยนี้ให้ธาตุอาหารแก่พืช ช่วยบำรุงดิน ทำให้ดินระบายน้ำและอากาศได้ดี พืชดูดธาสฟอสฟอรัสจากดินได้ดีขึ้น ดินที่มีอินทรีย์วัตถุจะไม่พังทะลายง่ายและอินทรีย์วัตถุเป็นอาหารของพวกจุลินทรีย์และสัตว์เล็ก ๆ ที่จะช่วยย่อยทำลายเศษพืช-สัตว์ให้สลายตัวเป็นปุ๋ยเร็วขึ้น
ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ (organic Fertilizers)
1. ปุ๋ยคอก (Farm Manure) ได้จากมูลสัตว์เลี้ยงทุกชนิด โดยทั่วๆไปมี N ประมาณ 0.5% ธาตุ P 0.25%, K 0.5% ปุ๋ยคอกให้อินทรีย์วัตถุแก่ดิน ทำให้ดิน ร่วนซุย แก้ความเป็นกรด-ด่าง ทำให้ดินอุ้มน้ำดี ให้ธาตุอาหารแก่พืชและมีฮอร์โมนช่วยกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืชด้วย การใช้ปุ๋ยคอกสด ควรระวัง เพราะปุยยังมีการสลายตัว(การหมัก) และความร้อน อาจทำให้ต้นและใบไหม้ รากเสียหาย จึงควรใช้ปุ๋ยคอกที่ผุดีแล้ว การใส่ปุ๋ยควรพรวนดินหรือขุดหลุมแล้วใส่ปุ๋ยคอก จากนั้นจึงกลบดิน ปริมาณปุ๋ยคอกที่นิยมใส่ในไร่ในนาประมาณ 5-10 ดินต่อไร่ ในแปลงขนาด 1×4 เมตร ควรใส่ปุ๋ยคอกประมาณแปลงละ 4-5 ปุ้งกี๋
ส่วนประกอบของปุ๋ยคอกบางชนิด(เปอร์เซนต์)
N | P | K | |
มูลวัว | 0.60 | 0.50 | 0.73 |
มูลสุกร | 0.50 | 0.35 | 0.40 |
มูลไก่ | 1.00 | 0.80 | 0.40 |
มูลควาย | 1.10 | 0.68 | 1.33 |
มูลม้า | 0.70 | 0.25 | 0.55 |
มูลเป็ดไทย | 1.03 | 2.65 | 1.04 |
มูลไก่ขังกรง | 2.54 | 6.50 | 2.01 |
2. ปุ๋ยหมัก (compost) ได้จากการหมักเศษพืช ขยะหรือเศษของอินทรีย์วัตถุอื่น ๆ ปุ๋ยหมักมีประโยชน์เพราะให้อินทรีย์วัตถุแก่ดิน ทำให้ดินเหนียวดินทรายกลางเป็นดินร่วน ช่วยอุ้มน้ำ ดูดซับแร่ธาตุ ทำให้อากาศในดินโปร่งดี ให้ความอบอุ่นแก่พืช เป็นอาหารของจุลินทรีย์และช่วยรักษาความเป็นกรดด่างให้อยู่กลาง ๆ การหมักปุ๋ยควรทำคอกสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วแบ่งเป็น 2 คอก กองปุ๋ยในคอกที่ 1 ก่อน ส่วนคอกที่ 2 มีไว้สำหรับกลับปุ๋ย คอกที่ใช้อาจทำให้กว้าง X ยาว X สูง 2 X 2 X 1.50 เมตร หรือแล้วแต่ชอบ และควรมีหลังคา กันแดดฝนด้วย ในการกองปุ๋ยควรเอาเศษพืช หญ้า ฟาง ฯลฯ กองลงในคอกก่อน แล้วใช้บัวรดน้ำให้ชุ่ม ใช้คนเหยียบให้แน่น จากนั้นจึงเอาปุ๋ยคอกอย่างเดียว หรือจะใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต 32 ก.ก. หรือยูเรีย 15 ก.ก. ต่อซากพืช 1 ตัน แบ่งเป็นส่วน ๆ ไว้ใส่ลงบนปุ๋ยหมักด้วย เมื่อใส่ปุ๋ยคอก (และปุ๋ยวิทยาศาสตร์แล้ว) ก็เอาเศษพืชมากองทับ รดน้ำ และเหยียบย่ำต่อไป ทำเช่นนี้สัก 4-5 ชั้น จนสูงประมาณ 1.50 เมตร ข้างบนควรคลุมด้วยเศษพืช ใบไม้ หรือกระสอบเก่าๆ และต้องกลับปุ๋ยทุกๆ 20-30 วัน หรือจนกว่าซากพืช จะผุเปื่อยหมดทั้งกอง (ราว 3-4 เดือน) ปุ๋ยหมักมีประโยชน์และใช้เช่นเดียวกับปุ๋ยคอก
3. ปุ๋ยพืชสด (green Manure)
หมายถึงพืชชนิดต่าง ๆ โดยมากเป็นพืชตระกูลถั่วที่ไถกลบหรือขุดกลบลงไปใต้ดินในขณะที่พืชยังมีสีเขียวสดอยู่ พืชที่ใช้ควรเป็นพืชที่โตเร็ว ปลูกง่าย ทนทาน มีศัตรูน้อยและควรเป็นอาหารสำหรับคนได้ เช่น ถั่วเขียว ข้าวโพด เมื่อเก็บผลแล้วก็ไถกลบลงดินเลย ปุ๋ยพืชสดมีประโยชน์เช่นเดียวกับปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมัก
4. ปุ๋ยเทศบาล
ทำมาจากขยะมูลฝอย และเศษเหลือจากครัวเรือน ขณะนี้เทศบาลทำมา 2 ชนิด คือ ชนิดอ่อน และชนิดแรง
สรุปประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์
1. ให้ธาตุอาหารแก่ดิน ทำให้ดินไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป
2. ทำให้ดินระบายอากาศดี ร่วนซุย และอุ้มน้ำได้ดี
3. ช่วยให้พืชใช้ธาตุต่าง ๆ เช่น N, P, K จากปุ๋ยเคมีดีขึ้น
4. เพิ่มอินทรีย์วัตถุแก่ดิน ดินไม่พังทะลายง่าย
5. เป็นที่อยู่และอาหารแก่จุลินทรีย์ที่จะช่วยย่อยทำลายซากพืชต่าง ๆ
6. ทำให้พืชหยั่งรากลงลึกและแผ่กว้าง
7. ราคาถูก ทำขึ้นได้เอง เหมาะกับท้องถิ่นทั่วไป
สรุปข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์
1. มีกลิ่นเหม็น เป็นที่น่ารังเกียจ
2. มีธาตุอาหารน้อย ต้องใช้ในปริมาณมาก ไม่สะดวกต่อการขนย้าย
3. มีแมลง ไข่แมลง วัชพืชและเชื้อโรคปะปนมากับปุ๋ย
4. เสียแรงงานในการทำ (ปุ๋ยหมัก)
ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอนินทรีย์ ( Inorganic Fertilizers]
ปุ๋ยอนินทรีย์ เป็นปุ๋ยเคมีที่สงเคราะห์ขึ้นมาโดยให้มีปริมาณธาตุอาหารตามที่เราต้องการ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์นี้อาจจะจำแนกออกตามชนิดของสารประกอบหลักได้ 3 อย่างคือ ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ยฟอสฟอรัสและปุ๋ยโปแตสเซียม บางทีเราก็เรียกชื่อเฉพาะของปุ๋ยเช่นปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟต ยูเรีย โปแตสเซียมคลอไรด์ เป็นต้น ปุ๋ยวิทยาศาสตร์มีทั้งประโยชน์และโทษดังนี้คือ ถ้าใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ จะทำให้พืชโตเร็ว ปุ๋ยนี้สะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีโรคและศัตรูติดมากับปุ๋ย ปุ๋ยนี้มีธาตุอาหารอยู่มาก ใช้ในปริมาณน้อยๆ การขนส่งสะดวกรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ดีปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็มีผลเสียอยู่หลายประการเช่น ราคาแพง ทำให้ดินเป็นกรดหรือด่างมากขึ้น ถ้าใส่มากจะเป็นอันตรายต่อพืช ถ้าใช้ไปนานๆ จะทำให้ดินแข็ง และมีการปนปลอมปุ๋ยกันง่ายมาก
ปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุ๋ยเคมีแยกเป็น 2 ชนิดคือ
ก. ปุ๋ยเดี่ยวหรือแม่ปุ๋ย หมายถึง ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารแต่เพียงธาตุเดียว ปุ๋ยเดี่ยวใช้เร่งการเจริญเติบโตตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เช่น
1. ปุ๋ยที่ให้ไนโตรเจน เช่น
-แอมโมเนียมซัลเฟต ให้ธาตุ N 20-21 %
-ยูเรีย ให้ธาตุ N 44-46 %
-แอมโมเนียมไนเตรท ให้ N 32-35 %
-แอมโมเนียคลอไรด์ ให้ N 25 %
-แคลเซี่ยมไซยานาไนด์ ให้ N 22 %
2. ปุ๋ยที่ให้ฟอสฟอรัส เช่น
-ซูปเปอร์ฟอสเฟต ให้ธาตุ P (ในรูป P2O5) 20 %
-ดับเบิ้ลซูปเปอร์ฟอสเฟต หรือทริพเปิลซูเปอร์ฟอสเฟตให้ P (P2O5) 45%
-ไฮเปอร์ฟอสเฟต ให้ P (P2O5) 28 %
-หินฟอสเฟต ให้ P (P2O5) 30 %
-กระดูกป่น ให้ P (P2O5) 30-35 %
-ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต ให้ N 18 %, และ P2O5 46 %
3. ปุ๋ยที่ให้โปแตสเซี่ยม เช่น
-โปแตสเซียมซัลเฟต ให้ K (ในรูป K2O) 50%
-โปแตสเซียมคลอไรด์ ให้ K (K2O) 60%
-โปแตสเซียมไนเตรต ให้ K (K2O) 46% และ ให้ N 13%
ข. ปุ๋ยผสม หมายถึง ปุ๋ยที่เอาปุ๋ยเดี่ยวหลาย ๆชนิดมาผสมกัน บางครั้งก็รวมเอาวัตถุอื่นที่มิใช่ปุ๋ยเข้ามาด้วย เพื่อให้ได้สัดส่วนของไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโปแตสเซียม (K) ตามที่เราต้องการ ในบางครั้งเราอาจผนวกเอาแมกนีเซียมอ๊อกไซด์ ซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์เข้ามาด้วย ปุ๋ยผสมยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1. ปุ๋ยผสมที่ไม่สมบูรณ์ เป็นปุ๋ยประกอบด้วย ธาตุหลักเพียง 2 ธาตุเช่น
-โปแตสเซียมไนเตรท มีปริมาณของ N 13% และ K 45-46% ดังนํ้นสูตร หรือเกรดของปุ๋ยจึงเป็น 13-0-46
-ปุยแอมโมฟอส มีสูตร 8-14-0
-ปุ๋ยทวินโมฟอส มีสูตร 16-20-0
2. ปุ๋ยผสมที่สมบูรณ์ เป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยธาตุหลักครบทั้ง 3 ธาตุ เช่น
-ปุ๋ยไนโตรฟอสก้า ซึ่งมีหลายสูตร เช่น 14-11-16 หรือ 10-20-15 หรือ 15-15-15 และปุ๋ยแอมโมฟอสก้า ซึ่งมีสูตร 12-29-12 หรือ 12-16-16 เป็นต้น
สูตรหรือเกรดของปุ๋ยที่เขียนว่า 15-15-15 หรือ 16-20-0 (ปุ๋ยนา) หมายถึงสัดส่วนเป็นร้อยละโดยนํ้าหนักของธาตุ N-P-K ดังนั้นปุ๋ยสูตร 14-11-16 ก็หมายความว่าถ้าปุ๋ย
ตารางแสดงประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใช้ผสมกัน
หมายเหตุ
a = ปุ๋ยที่ผสมกันแล้วเก็บไว้ได้นานๆ
b= ปุ๋ยที่ผสมกันแล้วต้องใช้ทันที
x = ปุ๋ยที่ไม่อาจผสมกันได้เลย
นั้นหนัก 100 กิโลกรัม จะมีไนโตรเจน (N) 14 ก.ก มีฟอสฟอรัส(P2O5 ) 11 ก.ก และมีโปแตสเซียม (K2O) 16 ก.ก. นอกจากนั้นเป็นวัตถุอื่นๆ ที่ปนมากับปุ๋ยเดี่ยว และสารเฉื่อยชา (inert Materials) เช่น ทราย ขี้เลื่อย ที่เติมเข้าไป (เรียกว่า Filler) เพื่อให้น้ำหนักของปุ๋ย ผสมครบ 100 ก.ก. พอดี อนึ่งสูตรปุ๋ยบางชนิดอาจเป็น 12-12-6-2.5 หมายความว่านอกจากจะมี N-P-K แลวยังมีแมกนีเซียม(อยู่ในรูป MgO) หนัก 2.5 ก.ก. ในปุ๋ยผสม 100 ก.ก.นั้นด้วย
การใช้ปุ๋ยเคมีและข้อควรระวัง
1. ปุ๋ยเคมีมีธาตุอาหารสูง จึงใช้สำหรับแก้ปัญหาพืชขาดธาตุอาหารได้ทันที แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
2. การใช้ปุ๋ยควรแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ตามอายุและขนาดของพืชคือ
ช่วงที่ 1 เป็นช่วงที่พืชเพิ่งงอกและกำลังเจริญเติบโต ช่วงนี้พืชต้องการสร้างกิ่งก้าน สาขาและต้องสร้างโปรตีนมาก ดังนั้นจึงควรใส่ปุ๋ยพวกไนโตรเจน เช่น ยูเรีย แอมโมเนียมซัลเฟต เป็นต้น ถ้าจะใช้ปุ๋ยผสมก็ควรเลือกสูตรที่มี N สูง ๆ เช่น 20-20-0 เป็นต้น
ช่วงที่ 2 เป็นช่วงที่พืชมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทุกทาง เช่น ราก ลำต้น กิ่ง ใบ ดังนั้นจึงควรใส่ปุ๋ยที่มี P มากขึ้น เช่น 5-10-5 หรือ 16-20-0
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่พืชมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และเป็นช่วงที่กำลังสร้างผลและเมล็ดจึงควรใช้ปุ๋ยที่มี K มากขึ้น เช่น 14-11-16 หรือ 15-15-15 หรือ 12-16-16 เป็นต้น
3. ปุ๋ยไนโตรเจน เช่นพวกเกลือไนเตรทต่าง ๆ จะละลายไปกับน้ำ และถูกชะล้าง ลงสู่ใต้ดินง่ายมาก จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ส่วนปุ๋ยพวกฟอสเฟต มีการเคลื่อนที่ไปตามดินช้ามาก ดังนั้นการใส่ปุ๋ยฟอสเฟต ต้องใส่ใกล้ต้นและรากพืช
4. ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ต่อต้นหรือต่อไร่สร้างสอคคล้องกับคำแนะนำของบริษัทและนักวิชาการ เพราะถ้าใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินไปจะทำให้ต้นพืชตายได้ เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วควรรดน้ำทันที
5. การใส่ปุ๋ยอาจจะหว่านก่อนหรือหลังไถหรือหลังจากปลูกพืชแล้ว และอาจจะฝังรองก้นหลุม หรือโรยรอบ ๆ โคนต้นก็ได้ นอกจากนี้อาจละลายในน้ำเช่น (ปุ๋ยยูเรีย แอมโมเนียมซัลเฟต) รดลงบนผัก บนดิน หรือละลายในน้ำชลประทานก็ได้ ปุ๋ยกล้วยไม้ ปุ๋ยไม้ดอก อาจละลายน้ำพ่นเป็นฝอย บางชนิคอาจผสมรวมกับยาฆ่าแมลงก็ได้
การใส่ปุ๋ยให้แก่ไม้ยืนต้นและไม้ผล ใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำ เช่น 1 ก.ก./ต้น/ปี ทำการดายหญ้าพรวนดิน แล้วใส่ปุ๋ยโดยการหว่าน หรือขุดหลุมขุดร่องตื้นๆ ในรัศมีของร่มใบแล้วพรวนกลบหลุม ถ้าใช้วิธีหว่านก็ไม่จำเป็นต้องพรวนกลบก็ได้ บางคนอาจใช้คราดแต่เพียงเบา ๆ
6. ฤดูกาลที่ควรใส่ปุ๋ย คือก่อนฤดูฝน หรือก่อนฝนตก เช่นประมาณเดือนพฤษภาคม 1 ครั้ง และเดือนตุลาคมอีก 1 ครั้ง ตามปกติการแบ่งปุ๋ยใส่ให้ต้นพืชเพียงเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งจะดีกว่าการใส่ปุ๋ยคราวละมาก ๆ
7. ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตใช้เเล้วทำให้ดินเป็นกรดปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์เหมาะกับพืชทุกชนิด ยกเว้นยาสูบและไม้ผล (ส้ม ทุเรียน ฯลฯ) แต่โปแตสเซี่ยมซัลเฟต เหมาะกับยาสูบและไม้ผลด้วย การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ไปนาน ๆ อาจทำให้ดินแข็ง ผลผลิตลดลงและดินเป็นกรดจัด
วิธีแก้ไขดินเป็นกรดและดินแข็ง
1. ถ้าดินเป็นกรดใช้ปูนขาวหรือหินปูน
2. ควรใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมักเช่นใช้ปุ๋ยเคมี 1 ก.ก. ผสมกับปุ๋ยคอก 1-2 ปีบ เป็นต้น
3. ปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชหมุนเวียน
4. ปลูกพืชแล้วไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด
5. ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักอย่างเดียวเป็นปริมาณมาก ๆ
6. หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยที่ทำให้เกิดกรด เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต
สูตรปุ๋ยผสมสำหรับพืชบางชนิด
ชื่อพืช | ควรใช้สูตร | อัตราที่ควรใช้ |
ข้าว(ดินทั่วไป) | 16-20-0 | 12 กก./ไร่ ก่อนปักดำ |
8 กก./ไร่ หลังปักดำ 30 วัน | ||
4 กก./ไร่ ก่อนออกรวง | ||
ข้าว(ดินเหนียว | 18-46-0 | 10 กก./ไร่ ก่อนปักดำ |
8 กก./ไร่ หลังปักดำ | ||
8 กก./ไร่ ก่อนออกรวง | ||
ข้าว | 10-10-10 | 40-80 กก./ไร่ |
ข้าวโพด | 6-7-10 หรือ | 50-75 กก./ไร่ |
12-12-6 | 50-60 กก./ไร่ | |
ถั่วต่าง ๆ | 2-12-12 | 30-60 กก./ไร่ |
ถั่วเขียว | 10-20-20 | 30-50 กก./ไร่ |
ถั่วเหลือง | 6-12-12 | 40-50 กก./ไร่ |
พืชผักกินใบและดอก | 12-8-8 | 100-150 กก./ไร่ |
พืชกินหัว | 10-10-15 | 75-100 กก./ไร่ |
มะเขือเทศ | 10-10-10 | 80-100 กก./ไร่ |
มันสำปะหลัง | 8-8-4 | 65-100 กก./ไร่ |
สับปะรด | 10-4-15 หรือ 12-2-10 | 35 กก./1000 ต้น |
แตงโม | 6-11-9 | 70-80 กก./ไร่ |
ส้ม | 6-10-15 ต้นเล็ก
ออกผลแล้ว |
30-80 กก./ไร่
100 กก./ไร่ |
กล้วย | 8-10-20 | 80-100 กก./ไร่ |
10-10-10
10-5-30 |
ต้นเล็ก 1 กำมือ/ต้น/ปี
ต้นใหญ่ 0.5-1 กก./ต้น/ปี |
|
มะพร้าว | 8-8-18-2.7
(2.7 คือแมกนีเซียม) หรือ 4-6-12 |
0.5-1 กก./ต้น/ปี |
ยาง | 10-16-9-2.5
(2.5 คือแมกนีเซียม) |
ยางอ่อน-5 ปีใส่ 100-800 กรัม/ต้น/ปี
อายุ 5 ปีขึ้นไป 1 กก./ต้น/ปี |
ทุเรียน | 13-13-13 | 500-600 กรัม/ต้น/ปี |
ไม้ผลอื่น ๆ | 15-15-15 | 300/800 กรัม/ต้น/ปี |
หมายเหตุ
1. หากท่านไม่สามารถจะหาสูตรปุ๋ยตามคำแนะนำนี้ได้ ก็ให้พิจารณาเลือกสูตร ที่มีส่วนประกอบใกล้เคียงกัน
2. การใส่ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวหลายๆ ปี จะทำให้ดินแข็ง ดังนั้นควรใช้ปุ๋ยเคมีผสมกับปุ๋ยคอกด้วย ปุ๋ยคอกใช้ได้ไม่จำกัดจำนวน
3. ไม้ใบควรใช้สูตร (N-P-K) 12-8-8
ไม้ดอกควรใช้สูตร 5-10-5
พืชที่กินหัวควรใช้สูตร 5-10-10
พืชพวกถั่วควรใช้สูตร 2-12-12