คาร์เนชั่นเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะเดิมคล้ายดอกผีเสื้อชั้นเดียวสีชมพูสด มีกลิ่นหอมคล้ายกานพลู ออกดอกเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิที่มีสภาพวันยาว ในปัจจุบันนี้ได้รับการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์มานานหลายร้อยปีทำให้ได้ดอกมีกลีบซ้อนกันแน่น สีต่าง ๆ เช่น ขาว ชมพู แดง เหลือง ส้ม บานเย็นและสีลายดอกมีก้านยาวตรงและแข็งแรง ออกดอกได้ตลอดปี บางพันธุ์ยังมีกลิ่นหอมอยู่ พันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากคือ พันธุ์ “Sim” สีต่างๆ และพันธุ์อื่นๆ ที่สร้างขึ้นในยุโรป
คาร์เนชั้นมี 2 ประเภท แต่ละประเภทมีพันธุ์ต่าง ๆ เฉพาะ
1. คาร์เนชั่นดอกเดี่ยว (Standard carnation) มีดอกใหญ่ขนาด 3 นิ้วขึ้นไป ก้านดอกหนึ่งๆ เลี้ยงให้มีดอกเดียว การปลูกต้องเด็ดดอกข้างออกให้เหลือแต่ดอกกลาง เช่นพันธุ์ White Sim, Red Sim เป็นต้น
2. คาร์เนชั่นดอกช่อ หรือคาร์เนชั่นสเปรย์ (Spray Carnation) พวกนี้มีดอกเล็กขนาด 1- 2 นิ้ว ก้านหนึ่งมี 3-5 ดอกบานพร้อมกัน การปลูกให้เด็ดดอกกลางออก ปล่อยให้ดอกข้างทั้งหมดเจริญ เช่น พันธุ์ Exquisite, Karina เป็นต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
คาร์เนชั่นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dianthus caryophyllus อยู่ในวงศ์ Caryophyllaceae และเป็นพืชยืนต้นมีชีวิตยาวหลายฤดู (perennial) แต่นิยมปลูกเลี้ยงกันในต่างประเทศเพียง 2 ปีในโรงกระจก สำหรับในเมืองไทยนั้นอาจปลูกเพียงฤดูเดียวหรือ 2 ฤดูเป็นอย่างมากก็รื้อแปลงทิ้งแล้วปลูกใหม่
คาร์เนชั้นมีลำต้นเป็นกอ กิ่งก้านยาวเก้งก้างต้องมีการคํ้าต้นจึงจะทำให้ก้านดอกตรง ใบของคาร์เนชั่นเรียวยาวสีเขียวอมฟ้าหม่นดูเหมือนมีขึ้ผึ้งสีขาวขุ่นเคลือบอยู่บาง ๆ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบและไม่มีก้านใบ ใบเกิดเป็นคู่โอบรอบข้อทำให้ดูบวมโตเฉพาะตรงข้อ ดอกมีกลีบบาง โคนกลีบสอบลงเป็นรูปลิ่ม ปลายกลีบหยักเป็นฟันเลื่อยละเอียดหรือหยักเป็นคลื่น กลีบดอกเรียงซ้อนกันแน่นโดยมีกลีบรองดอก (calyx) สีเขียวรูปกรวยโอบรัดโคนกลีบไว้ ปลายกลีบรองดอกหยักเป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ 5 หยัก ดอกมีกลิ่นหอมคล้ายกานพลู ก้านดอกกลมเรียบ หักออกได้ง่ายตรงข้อ โดยไม่ฉีกขาด
คาร์เนชั่นมีดอกสวย มีสีต่างๆ กลิ่นหอมและบานทน พันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกกันอยู่ได้รับการผสมพันธุ์ในต่างประเทศแถวทวีปยุโรป หรืออเมริกาเพื่อให้ปลูกในโรงกระจกที่มีการควบคุมอุณหภูมิ หรือนำ ไปปลูกในที่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก ๆ ที่มีอากาศเย็น แหล่งผลิตคาร์เนชั่นดอกเดี่ยวที่สำคัญของโลกอยู่ที่เมืองโบโกตาในประเทศโคลัมเบีย ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,800 เมตร สำหรับคาร์เนชั้น ดอกช่อผลิตกันมากที่ริมทะเลสาปไนวาชาประเทศเคนยาของทวีปแอฟริกา ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,600 เมตร ดังนั้นแหล่งปลูกที่เหมาะสมในเมืองไทยคือ สภาพบนภูเขาที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ ตามดอยต่างๆ ในภาคเหนือ เช่นดอยอ่างขาง ดอยสามหมื่น และดอยอินทนนท์ เป็นต้น ถ้าจะปลูกคาร์เนชั่นในพื้นที่ราบเชียงใหม่หรือจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือและอีสานก็ทำได้เช่นเชียงราย เลย เป็นต้น โดยเอากิ่งชำที่ออกรากแล้วปลูกเมื่อหมดฤดูฝนคือ ประมาณช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายน และจะเริ่มให้ดอกประมาณต้นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป เมื่อหมดดอกแล้วควรรอแปลงทิ้ง เพราะถ้าได้รับสภาพแวดล้อมในฤดูร้อนจะมีปัญหาจากแมลงคือ หนอนผีเสื้อ ประกอบกับอากาศร้อนทำให้ต้นโทรม ถ้าจะเลี้ยงต้นต่อไปในฤดูร้อนและฤดูฝนเพื่อรออากาศเย็นในช่วงหนาวใหม่นั้นไม่คุ้มแน่นอน
การปลูกคาร์เนชั่น ปลูกได้จากเมล็ดและกิ่งชำ ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดมักให้ดอกเล็ก ก้านอ่อนและสั้น มักใช้ในการปลูกประดับแปลงมากกว่านำมาใช้เป็นไม้ตัดดอก ดอกมีคุณภาพต่างกับดอกที่ปลูกจากกิ่งชำสำหรับตัดดอกมาก
การเพาะเมล็ด
ตามแคตตาล็อกของบริษัทผลิตเมล็ดพันธุ์มีเมล็ดพันธุ์คาร์เนชั่นจำหน่าย พันธุ์ที่นิยมปลูกกัน ได้แก่ Giant Chabaud, Knight, Enfant de Nice เป็นต้น
เมื่อได้เมล็ดมาแล้วให้เพาะเมล็ดเป็นแถวในวัสดุเพาะเมล็ดเช่น ดิน:ทราย:ปุ๋ยคอกเก่า ๆ ในอัตราส่วนอย่างละเท่าๆ กันใช้ระยะระหว่างแถวประมาณ 2 นิ้ว ระยะระหว่างต้นประมาณ 1 นิ้ว แล้วกลบเมล็ดบางๆ หรือใช้ฟางคลุมเมล็ด เมล็ดจะงอกใน 4-7 วัน ระยะเริ่มงอกอย่าให้ถูกแสงโดยตรง เมื่อต้นเริ่มมีใบจริงจึงย้ายที่ให้ได้รับแสงมากขึ้น หลังจากงอกได้ 1เดือนจึงเริ่มย้ายลงแปลงปลูก ปลูกต้นให้ห่างกันประมาณ 20 ซม.
การใช้กิ่งชำ
พันธุ์คาร์เนชั่นที่ปลูกตัดดอก มีจำหน่ายเป็นกิ่งชำที่ออกรากแล้ว(rooted cuttings) และกิ่งชำที่ยังไม่ออกราก (unrooted cuttings) โดยสั่งจากบริษัทจำหน่ายกิ่งชำในต่างประเทศซึ่งรับรองการปลอดโรค เป็นกิ่งชำที่สะอาดและแข็งแรงมาปลูก หรือถ้ามีต้นแม่อยู่แล้ว ใช้ปลายยอดขนาด 4-5 นิ้ว หักจากต้นแม่ตรงข้อ เอาใบคู่ล่างออกแล้วจุ่มโคนกิ่งลงในสารเร่งรากเช่นเซราดิกซ์เบอร์ 1 หรือ 2 ก่อนนำไปปักชำในวัสดุชำคือทราย:ขี้เถ้าแกลบในอัตรา 1:1 ใช้ระยะระหว่างกิ่งชำ 1 นิ้ว ระยะระหว่างแถว 2 นิ้ว ชำลึก 2 – 1 นิ้ว เมื่อออกรากยาวประมาณ 5 นิ้ว ก็นำออกปลูกในแปลงได้ ระยะเวลาจากการชำกิ่งถึงออกรากประมาณ 20 วันแล้วแต่พันธุ์และฤดูกาล ถ้าปล่อยให้รากยาวกว่านี้เวลาเอาไปปลูก ในแปลงรากจะขาดง่ายและใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งจึงจะตั้งตัวได้
แปลงปลูกและระยะปลูก
ขนาดของแปลงควรกว้าง 1 เมตร ความยาวไม่จำกัดแล้วแต่ความสะดวก ใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 6 นิ้ว และระหว่างแถว 8 นิ้ว ระยะปลูกของคาร์เนชั่นค่อนข้างแคบเนื่องจากคาร์เนชั่น เติบโตทางความสูงมากกว่าความกว้างของทรงพุ่ม
ดินปลูก
ดินปลูกควรร่วน โปร่ง มีอินทรียวัตถุประมาณ 1/4 เป็นอย่างน้อย ที่สำคัญที่สุดคือต้อง ระบายน้ำดีเพราะคาร์เนชั่นจะเป็นโรคได้ง่ายถ้าดินปลูกแฉะหรือระบายน้ำไม่ดี pH ของดินควรเป็น 6.5
การย้ายปลูก
เมื่อกิ่งชำออกรากยาวเพียงครึ่งนิ้วก็ย้ายลงแปลงได้ เวลาปลูกอย่าปลูกลึกเกินไปจะทำให้ต้นโตช้าและเป็นโรคได้ง่ายจึงปลูกตื้นเพียง ½ – 1 นิ้วแล้วกลบโคนต้นให้กระชับแล้วรดนํ้าให้ชุ่ม ถ้าวันรุ่งขึ้นปรากฎว่ามีต้นล้มประมาณ 1/3 แสดงวาปลูกถูกต้อง ถ้าไม่มีต้นล้มเลยแสดงว่าปลูกลึกเกินไป ถ้ามีต้นล้มให้จับต้นตั้งตรงแล้วกลบโคนต้นอีกครั้ง ถ้าอากาศร้อนหรือแดดจัดควรให้น้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะใน 2-3 วันแรก
การให้น้ำ
การให้น้ำแต่ละครั้งให้ชุ่มลึกลงถึงระดับรากคือประมาณ 8 นิ้ว หลังจากนั้นปล่อยให้หน้าดินแห้งแล้วจึงรดน้ำใหม่ ถ้าปล่อยให้ดินชุ่มอยู่ตลอดเวลาจะมีโอกาสเกิดโรคต้นเน่าได้มาก ไม่ควรให้นํ้าแบบสปริงเคลอร์เพราะจะช่วยกระจายสปอร์ของโรคให้แพร่ไปได้ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้รดน้ำแล้วกะเวลาให้ใบแห้งก่อนค่ำ
การเด็ดยอด
เมื่อย้ายปลูกได้ประมาณ 1 เดือน ยอดจะเริ่มยืด ให้เด็ดยอดออกให้เหลือ 4-5 คู่ใบติดอยู่กับต้น ควรเด็ดยอดตอนเช้าเมื่อเนื้อเยื่อยังเปราะ ถ้าเด็ดยอดขณะอากาศร้อนจัดอาจได้แผลที่ฉีดขาด เชื้อโรคจะเข้าทำลายได้ง่าย
การเด็ดยอดจะทำให้แตกตาข้างอีกประมาณ 3-6 หน่อซึ่งจะเติบโตเป็นกิ่งดอก การเด็ดยอดทำให้ได้ดอกช้าออกไป แต่ได้ดอกที่มีคุณภาพดีและได้จำนวนดอกมากขึ้น ในการค้านิยมให้ต้นแตกหน่อ 4 หน่อ
การเด็ดดอกข้าง
เมื่อคาร์เนชั่นออกดอก จะมีดอกข้างหลายดอกเกิดขึ้นพร้อมกันโดยธรรมชาติต้องเด็ดดอกข้างเหล่านั้นออกให้หมดเหลือแต่ดอกกลางดอกเดียว ดอกกลางจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะได้รับอาหารเต็มที่ การเด็ดดอกข้างต้องทำตั้งแต่มีขนาดพอเด็ดได้คือใหญ่กว่าหัวไม้ขีดไฟเล็กน้อย ใช้นิ้วหัวแม่มือปลิดออกโดยบิดลงล่างจะหลุดออกได้โดยง่าย ถ้าปล่อยให้ดอกข้างโตมากนอกจากจะแย่งอาหารจากดอกกลางแล้ว ยังทำให้เกิดแผลใหญ่และอาจเบียดดอกกลางให้เฉไปบ้าง
สำหรับคาร์เนชั่นดอกช่อ นิยมเด็ดดอกกลางออกเพื่อให้ดอกข้างยืดและเจริญพร้อมกัน มีขนาดดอกสม่ำเสมอ
การให้ปุ๋ย
ควรคลุกปุ๋ยฟอสฟอรัสเช่น ซูเปอร์ฟอสเฟต 10 กก. ลงในดินในแปลงกว้าง 1 เมตร ยาว 20 เมตร หลังจากย้ายปลูกแล้วให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง อัตรา 2:1:1 ละลายนํ้ารด และหลังจากเด็ดยอดจนถึงออกดอกจึงให้ปุ๋ยสูตร 5-10-5 ละลายนํ้ารด 7-10 วันต่อครั้ง
การคํ้าต้น
ควรใช้ตาข่ายพยุงลำต้นอย่างน้อยที่สุด 2 ชั้น ชั้นแรกสูงจากดินประมาณ 1 คืบ หรือ 15 ซม. ชั้นที่ 2 สูงจากชั้นแรกอีก 15 ซม. ขึงตาข่ายให้ตึง ตาข่ายควรมีขนาด 5” X 5″ พยายามให้กิ่งก้านอยู่ในช่องตาข่ายทั้งหมดทั้งแต่ยังเล็กจนต้นโตขึ้นมิฉะนั้นก้านดอกจะคดหรืองอ
การตัดดอก
ควรตัดดอกเมื่อกลีบดอกคลี่ทำมุมฉากกับกลีบรองดอกโดยหักกิ่งตรงข้อ ถ้าจะปลูกเพียงฤดูเดียวก็ตัดก้านได้ยาว แต่ไม่ควรตัดชิดโคนต้นเพราะเนื้อเยื่อบริเวณนั้นแข็ง จะทำให้ก้านดอกดูดน้ำยาก ถ้าจะเอาดอกรุ่นที่สอง ให้ตัดตรงจุดที่ต่ำกว่าใบคู่ที่ 8 หน่อที่เหลือจะเจริญเป็นดอกรุ่นต่อไป เมื่อตัดดอกแล้วให้แช่น้ำทันที ภาชนะที่ใส่ดอกต้องล้างให้สะอาด ถ้ามีน้ำยารักษาดอกไม้ให้บานนานด้วยยิ่งดี
ลักษณะของดอกที่ดี
1. สีสดใส ดอกและใบสะอาด
2. กลีบเรียงซ้อนกันแน่นโดยเฉพาะกลีบที่อยู่ตรงใจกลางดอก
3. รูปดอกไม่เบี้ยว
4. ไม่มีอาการกลีบรองดอกแตก
5. ก้านดอกยาว ตรงและแข็งแรง
6. ไม่มีรอยช้ำหรือเสียหาย
การคัดขนาดของสมาคมไม้ดอกอเมริกา
เกรดสีฟ้า | เกรดลีแดง | เกรดสีเขียว | |
ขนาดเส้นผ่าศนย์กลางดอก | ดอกตมแน่น 50 | 44 | ไม่กำหนด |
(มม.) | ดอกแย้ม 62 | 56 | ไม่กำหนด |
ดอกบาน 75 | 69 | ไม่กำหนด | |
ความยาวก้านต่ำสุด (ซม.) | 55 | 43 | 30 |
การคัดขนาดของโครงการหลวง
เกรดเอ | เกรดบี | เกรดซี | |
ขนาดดอกบานต่ำสุด (ซม.) | 7 | 6 | 5 |
ความยาวก้านอย่างต่ำ (ซม.) | 50 | 40 | 30 |
อายุของต้น
ที่จริงคาร์เนชั่นเป็นพืชอายุหลายปีแต่ในทางปฎิบัติของประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา ผู้ปลูกจะปลูกคาร์เนชั่นในโรงกระจกเพื่อเอาดอกเพียง 2 ปี แล้วรื้อแปลงเพื่อปลูกด้วยกิ่งชำใหม่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องโรค จำนวนดอกและคุณภาพของดอกลดลงจนไม่คุ้มที่จะปลูกต่อไป แต่สำหรับในเมืองไทย ถ้าปลูกเลี้ยงในโรงเรือนในสภาพบนดอยที่มีอากาศเย็นและมีการเอาใจใส่อย่างดี อาจปลูกได้ถึง 2 ปี เช่นเดียวกัน แต่ถ้าการดูแลไม่สม่ำเสมอและไม่เคร่งครัด หรือปลูกในพื้นราบแล้วแนะนำให้ปลูกในช่วง ฤดูหนาวเพียงรุ่นเดียวหรืออย่างมากที่สุดก็สองรุ่นแล้วรื้อแปลงทิ้ง
ปัญหาที่พบในการเลี้ยงดู
1. กลีบรองดอกแตก (Calyx splitting)
อาการคือ กลีบเขียวชั้นนอกที่หุ้มโคนกลีบดอกแตก ทำให้กลีบดอกห้อยลงมา ดอกเสียรูปทรง ปัญหานี้พบกับทุกพันธุ์มากน้อยแล้วแต่ฤดูกาลและชนิดพันธุ์ ปกติ calyx จะแตกก่อนดอกบานประมาณ 10-14 วัน ดอกที่ calyx แตกจะเสียราคา
สาเหตุสำคัญของการที่กลีบรองดอกแตกคือ อุณหภูมิ มีผู้สังเกตว่า การที่อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ประมาณ 6 ° ซ ใน 1 ชั่วโมง จะทำให้กลีบรองดอกแตกและการมีอุณหภูมิต่ำติดต่อกันป็นเวลานานจะทำให้ดอกสร้างกลีบดอกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจนกลีบรองดอกรับไว้ไม่ไหว กลีบรองดอกจึงแตก
การมีอุณหภูมิสูงในเวลากลางวันก็ทำให้กลีบรองดอกแตกได้ เช่น ปลูกในที่มีอุณหภูมิ 25° ซ สันนิษฐานว่าการแตกเกิดเพราะเนื้อเยื่อของกลีบรองดอกไม่มีความยืดหยุ่นที่อุณหภูมิสูง
ดังนั้น การควบคุมอุณหภูมิในการปลูกทั้งอุณหภูมิกลางวันและกลางคืน จึงสำคัญมาก ในต่างประเทศเมื่ออากาศหนาวมาก ต้องมีเครื่องทำความร้อน(heater) เพื่อลดการเปลี่ยนอุณหภูมิ อย่างกะทันหันของอุณหภูมิกลางวันมาเป็นอุณหภูมิกลางคืนซึ่งเย็นจัด และในเวลากลางวันต้องมีการ ระบายอากาศอย่างดีด้วย
นอกจากอุณหภูมิเป็นสาเหตุที่สำคัญแล้ว กลีบรองดอกแตกยังอาจเกิดได้จาก
-โครงสร้างของดอก ถ้าดอกมีกลีบรองดอกตื้นและกว้างจะไม่ค่อยแตก แต่ถ้าลึกและแคบ ดอกที่มีกลีบมากจะแตกได้ง่ายหรือเนื้อเยื่ออ่อนแอก็เป็นสาเหตุหนึ่ง
-จำนวนกลีบดอก ดอกที่มีกลีบมากจะมีโอกาสแตกมากกว่า
-กรรมพันธุ์ บางพันธุ์แตกมาก บางพันธุ์แตกน้อย แม้แต่บางต้นในสายต้น (clone) เดียวกันก็แตกมากกว่าต้นอื่น วิธีแก้คือ การคัดเลือกแต่ต้นที่พบปัญหานี้น้อยมาปลูก
-ระยะเวลาวิกฤตของการแตก เมื่อดอกเริ่มบานกลีบรองดอกจะเผยอออกก่อนเพื่อให้กลีบดอกบาน การแตกของกลีบรองดอกอาจเกิดระหว่าง 1-12 วันหลังจากกลีบรองดอกเผยอ แต่ระยะ 2-6 วันนับจากกลีบรองดอกเผยอจะเป็นระยะที่เกิดการแตกมากที่สุด
-ธาตุอาหาร การให้ปุ๋ยฟอสฟอรัสมากเกินไป ปุ๋ยไนโตรเจนน้อยเกินไปหรือขาดธาตุโบรอนก็เป็นสาเหตุให้กลีบรองดอกแตกได้
-โรค คาร์เนชั่นที่เป็นโรคไวรัส จะทำให้ต้นอ่อนแอและกลีบรองดอกแตกมากผิดปกติ
2. ปัญหาเรื่องโรค
โรคใบจุด (Alternaria leaf spot)
อาการ เกิดที่ใบโดยมีแผลวงกลมสีน้ำตาล ซึ่งจะขยายวงกว้างออกไป มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 ซม. ใบที่มีแผลใหญ่มาก ปลายใบจะแห้งเหี่ยวไป เนื้อเยื่อตรงกลางแผลจะแห้งเป็นสีน้ำตาลอ่อน ขอบแผลมีสีน้ำตาลอมม่วงเห็นได้ชัดเจนเวลาที่อากาศชื้น ๆ จะมีราเป็นผงสีนํ้าตาลดำเกิดปกคลุมบาง ๆ บนแผล แผลที่ขยายออกไปมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรีรูปไข่ ต้นที่มีหลายแผลบนใบจะทำให้ใบแห้งและต้นอาจถึงตายได้
การป้องกันกำจัด ใช้ยากันราฉีดพ่นประมาณ 10-15 วันต่อครั้ง ถ้ามีฝนตกชุก ให้ฉีดถี่ขึ้นกว่านั้นและใช้ยาจับใบ (sticker) ช่วย
โรคราสนิม(rust)
อาการ ตามลำตัน กิ่งและใบจะมีแผลปริแตกเป็นรอยยาวประมาณ 1-2 ซม. ภายในมีผงสีนํ้าตาลแดงซึ่งฟุ้งกระจายไปตามลมรอบ ๆ แผลมีสีเหลือง ใบที่มีแผลหลายแผลอาจมีปลายใบแห้ง ต้นที่เป็นโรคจะแคระแกร็นและมีใบม้วนงอ
การป้องกันกำจัด ใช้ยาป้องกันราฉีด เช่น ไซเนบ มาเนบ คาราเธน
โรคโคนเน่าและรากเน่า (Sclerotium rot)
อาการ ในระยะแรกจะแสดงอาการเหลืองและเหี่ยว โดยมากเริ่มจากใบล่างขึ้นมาก่อน เมื่อตรวจดูบริเวณโคนต้นแล้วจะพบว่า ส่วนของลำต้นที่ติดกับดินมีรอยชํ้าสีนํ้าตาล ลำต้นตรงส่วนที่เน่า จะหักพับได้ง่าย เมื่ออาการรุนแรงจะแสดงอาการเหี่ยวทั้งต้นและตายในที่สุด บริเวณโคนต้นและดินรอบๆ โคนต้นจะพบเส้นใยสีขาวขึ้นปกคลุม ในบางครั้งจะพบเม็ดSclerotium สีน้ำตาลขนาดเท่าหัวเข็มหมุดปนอยู่ด้วย โรคนี้ระบาดได้ดีในที่ๆ มีอุณหภูมิและความชื้นสูง หรือให้น้ำมากเกินไป
การป้องกันกำจัด จากผลการทดลองพบว่าการใช้เทอร์ราคลอร์ 2 กรัมต่อนํ้า 1 ลิตร เทราดในดินทุก 7 วัน หรือใช้แคปแทน 6 กรัมต่อนํ้า 1 ลิตร พ่นทั่วต้นทุก 7 วัน หรือใช้คูปราวิท 3 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นทุก 10-14 วัน จะปราบโรคนี้ได้ดี
ในเชียงใหม่โรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะในฤดูฝนและกำจัดได้ยาก เนื่องจากเชื้อรา Sclerotium ที่เป็นสาเหตุสามารถอยู่ข้ามฤดูได้โดยสร้าง Sclerotia body ซึ่งเกิดจากเส้นใย มาพันเป็นก้อนตกค้างอยู่ในดินได้นานหลายปีโดยไม่ตาย เมื่อมีสภาพแวดล้อมและอาหารเหมาะสมก็สามารถเจริญงอกเส้นใยต่อไปได้ การอบดินหรือใช้สารเคมีราดในดินจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าดินนั้นเคยปลูกคาร์เนชั่นที่เป็นโรคมาก่อน
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
-Carnation mottle virus มีลักษณะเป็นจุดด่างบนต้น ทำให้ลำต้นแคระแกร็น บางครั้งอาการต่าง ๆ จะไม่ปรากฎให้เห็น
-Carnation mosaic virus เกิดเป็นรอยด่างสีเขียวอ่อนบนใบ ถ้าเกิดบนกลีบดอกทำให้ดอกมีสีไม่สม่ำเสมอ โรคนี้แพร่หลายโดยเพลี้ย
-Carnation ringspot virus เกิดเป็นวงสีเทาหรือเหลืองบนใบ แพร่ได้อย่างรวดเร็ว โดยการสัมผัสเพลี้ยเป็นตัวนำโรคนี้
-Carnation streak virus เกิดเป็นเส้นสีเหลืองและมีจุดสีแดงขนานกับเส้นนั้น ใบที่อยู่ด้านล่างจะเหลืองและตายไปในที่สุด
โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไม่มีทางกำจัด มีแต่ทางป้องกันโดยปลูกแต่ต้นที่ปลอดโรค และ ฉีดยาป้องกันแมลงที่เป็นตัวนำโรค
โรคเหี่ยวที่เกิดจากบักเตรี (Bacterial wilt)
โรคนี้ทำลายท่อนํ้าท่ออาหารภายในต้นพืช ทำให้การส่งน้ำและอาหารชะงัก อาการที่แสดงให้เห็นในระยะแรกคือกิ่งก้านจะเหี่ยวทีละกิ่งหรือทีละหลายกิ่งถ้าเป็นมากใบจะเหลืองในที่สุดต้นก็ตาย การป้องกันกำจัดคือทำลายต้นที่เป็นโรคโดยการเผาทิ้งทันทีที่ตรวจพบและไม่ปลูกซํ้าอีกในแปลงที่เป็นโรค
แมลง
เพลี้ยอ่อน ไรแดง เพลี้ยไฟ หนอนเจาะดอก หนอนม้วนใบ ตั๊กแตน กำจัดโดยใช้ยาฆ่าแมลง
ปัญหาเรื่องแมลงเกิดกับดอกทำให้คุณภาพดอกลดลงหรือทำให้ขายไม่ได้แต่ปัญหาเรื่อง โรคมักเกิดกับต้น โดยเฉพาะฤดูฝนซึ่งฝนตกหนักและความชื้นในอากาศสูงมาก คาร์เนชั่นจะเป็นโรค โคนเน่าและตายไปเป็นจำนวนมาก ต้นที่เป็นโรคแต่ไม่ตายก็จะอ่อนแอ การเจริญเติบโตช้ากว่าปกติมาก กว่าจะฟื้นตัวก็ใช้เวลานาน แม้จะใช้ผ้าพลาสติกใสชนิดหนาทำหลังคาให้ด้านบนก็ไม่ได้ผลเนื่องจากฝนยังสาดเข้าไปในแปลงได้จึงจำเป็นต้องปลูกในโรงเรือนหลังคาพลาสติกที่มีมุ้งพลาสติกบุด้านข้างเพื่อ กันแมลงและใช้ดินระบายน้ำดีที่ที่อบฆ่าเชื้อแล้ว และมีโปรแกรมฉีดยาป้องกันเชื้อรา
สรุป
ไม้ตัดดอกส่วนมากต้องการการเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะคาร์เนชั่น ต้องมีการเด็ดยอด คํ้าต้น และเด็ดดอกข้างในเวลาที่เหมาะสม ถ้าละเลยเสียจะไม่ได้ดอกที่มีคุณภาพดี หรือเมื่อมีโรคและแมลงมารบกวน การป้องกันและการกำจัดเป็นสิ่งจำเป็นมาก ต้องทำให้ทันเวลา การปลูกคาร์เนชั่นจึงเป็นงานที่ละเอียดและใช้แรงงานมาก แต่เมื่อนึกถึงผลที่ได้แล้วก็คุ้มค่า เพราะคาร์เนชั่นให้ดอกที่มีสีต่าง ๆ สดใส กลิ่นหอมและปักแจกันได้นานวัน การขยายพันธุ์ก็ทำได้ง่าย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ยากที่จะพบรวม อยู่ในไม้ดอกชนิดเดียว สำหรับเชียงใหม่มีข้อได้เปรียบอยู่แล้วตรงที่มีอากาศเย็นปลูกได้ดีในช่วงที่มีอากาศหนาว แม้ว่าตลาดไม้ดอกในเชียงใหม่ไม่กว้างนัก แต่ก็มีโอกาสดีที่จะส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ ทางเครื่องบิน ทางรถไฟหรือรถยนต์ ซึ่งใช้เวลาอย่างมากเพียงคืนเดียว ดอกยังมีคุณภาพดีอยู่และบานรอตลาดได้หลายวัน คาร์เนชั่นจึงเป็นไม้ตัดดอกที่น่าสนใจปลูกในสภาพที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลได้ตลอดปี และปลูกในที่ราบของจังหวัดที่มีอากาศเย็นในฤดูหนาว