AHAจากสมุนไพรไทย

รศ.รุ่งระวี  เต็มศิริฤกษ์กุล

ปัจจุบันมีการพูดถึง เอเอชเอ คือ Alpha Hydroxide Acid (AHA) เอามาทำ Baby Face ก็คือ การทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ดุจทารก  ซึ่งมีผลอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็จะเหมือนเดิม ก็ต้องกลับไปให้หมอทำให้ใหม่ AHA จะมีฤทธิ์ลอกผิว พอลอกผิวก็จะทำให้ชั้นของผิวบางลง แล้วก็จะดูใบหน้าอ่อนเยาว์ เพราะเห็นเส้นเลือดอยู่ข้างใน ความหยาบกร้านเซลล์ที่ตายแล้วที่ถูกสะสมอยู่ก็จะถูกดึงออกไป คนแก่ยิ่งแก่ก็จะยิ่งมี เซลล์หยาบกร้านมากขึ้น จะมีการสะสมของเซลล์ที่ตายแล้วมากขึ้น ผิวหน้าไม่บาง พอลอกผิวก็จะรู้สึกหน้าบางมากขึ้น ตอนแรก ๆ ที่ใช้ทุกคนก็จะบอกว่าดี ตอนหลัง ๆ เราพบว่าการลอกผิวหน้ามัน เป็นการลอกหนังกำพร้าออกไปประมาณ 2-3 ชั้น ซึ่งหนังกำพร้าของเรามี 5 ชั้น ชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่เวลาเจอแดดแล้วจะสร้างเมลานีน หรือว่าเม็ดสีขึ้นมาทำให้ผิวคล้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าผิวหนังลอกออกไปแล้ว 2 ชั้น โอกาสที่แล้วจะลงไปถึงชั้นที่ 3 ได้เร็วขึ้น แล้วก็มากขึ้นด้วย

ในอเมริกามีการทดลองสรุปออกมาว่าการใช้กรด AHA พวกนี้ถ้าลอกแล้วจะทำให้ความไวของผิวต่อการรับแสงยูวี จะมากกว่าคนปกติที่ไม่เคยใช้ AHA

การใช้สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวมีข้อดีกว่าการไปหาหมอลอกผิวในคลีนิค เวลาเราใช้สมุนไพรมันไม่เร็วเท่า สำหรับคนที่เริ่มใช้เมื่ออายุ 30 กว่า ๆ พวกกรดผลไม้นี้จะช่วยได้ ข้อควรระวังของการใช้กรดผลไม้เหล่านี้ ก็คือว่า เวลาใช้อย่าใช้เปอร์เซ็นต์ที่สูง ต้องใช้เปอร์เซ็นต์ให้พอเหมาะกับผิวหน้า ระยะเวลาที่พอเหมาะที่อยู่บนผิวหน้าเรา

นอกจากนั้น การเลือกชนิดของผลไม้ก็มีส่วนสำคัญสำหรับคนผิวแห้งที่มีกรดมาก ๆ ไม่ควรใช้ คนผิวแห้งให้ใช้ชนิดกรดอ่อน ๆ จะได้ไม่ต้องปรับเปอร์เซ็นต์มาก นอกจากนั้นเวลาที่จะใช้กรดผลไม้ไม่ควรใช้ตอนเช้าหรือตอนกลางวัน ให้ใช้ตอนกลางคืน เพราะถ้าใช้กลางคืนผิวหน้ามันบางลง เวลาเราหลับก็จะมีการซ่อมแซมผิวหน้า จะทำให้มีชั้นหนังกำพร้าเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง พอตอนเช้าเจอแดดก็ไม่รุนแรงมากนัก

มะขามเปียก

สมุนไพรที่มี AHA หรือมีกรดผลไม้ตัวแรกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากก็คือ มะขามเปียก ซึ่งจะคั้ยเอาน้ำ แล้วก็มีเนื้อปนมาด้วย สำหรับคนผิวมัน เวลาใช้มะขามเปียกก็จะใช้แบบล้างหน้าใช้ถูแทนสบู่หรือถ้าล้างหน้าด้วยสบู่ก่อนก็ได้ สบู่ซึ่งเป็นด่าง เราก็จะใช้กรดจากผลไม้ เพื่อสะเทินสภาพผิว คือผิวของคนเรามี pH 5.5 มันไม่ดี อันนี้ไม่จริง เพราะถ้าผิวเราไม่ได้รับการกระตุ้นให้สะเทินหรือปรับสภาพบ่อย ๆ มันจะไม่ทำงาน ความยืดหยุ่นจะมีน้อยลง ฉะนั้น คนที่มี pH 5.5 น่าจะเป็นคนที่ผิวปรับสภาพได้น้อย หรือปรับช้ากว่าคนอื่น ได้แก่ คนที่ผิวแห้ง หรือคนที่ผิวแพ้ง่าย ซึ่ง pH 5.5 ไม่มีความจำเป็นสำหรับคนผิวหน้ามัน

หลังจากที่เราใช้สบู่ล้างหน้า แล้วก็จะใช้มะขามเป็นการปรับสภาพผิว เราจะใช้ทาไม่นานคือทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วก็ล้างออกเลย ในกรณีที่เราไม่ใช้สบู่เราก็ใช้มะขามเปียกที่คั้นเอาน้ำปนเนื้อมาทาหรือถูนวดเลยแล้วทิ้งเอาไว้ได้นาน สมุนไพรพวกนี้เป็นพวกกินก็ได้ ทาก็ได้ ถ้าจะให้ดี ควรทำเองอย่าไปซื้อก็จะปลอดภัยไม่ต้องระวังว่าเขาจะใช้ยากันบูดหรือไม่ราขึ้นหรือยัง

ดังนั้นการใช้มะขามเปียกจะใช้ได้ 2 แบบ คือ ใช้เพื่อปรับสภาพผิว และใช้ล้างหน้า ไม่ควรใช้กับคนผิวแห้ง แต่ถ้าคนผิวแห้งต้องการใช้มะขามเปียกก็ทำได้ ให้ใส่นมเข้าไป เพราะว่านมจะมีโปรตีนและไขมัน โปรตีนและไขมันจะไม่ทำให้ผิวหนังแห้ง นมที่ใช้กันเป็นนมจืด หรือถ้าผิวแห้งมากก็ให้ใส่น้ำผึ้งเข้าไปด้วย น้ำผึ้งนอกจากจะให้น้ำตาลที่ให้ความชื้นแล้วก็ยังมีวิตามิน มีวิตามินบี ซึ่งมีผลดีต่อผิวหน้า ถ้าคนผิวมันให้ใช้มะขามเปียก 3 ส่วน ใช้นม 1 ส่วน ใช้น้ำผึ้ง 1 ส่วน ถ้าคนผิวแห้งก็ใช้สัดส่วนกลับกัน มะขามเปียกต้องลดลงแล้วไปเน้นน้ำผึ้งกับนม

มะเฟือง

มะเฟืองจะมีกรดอ่อน อ่อนกว่ามะนาว อ่อนกว่ามะขามมาก ก็จะช่วยให้การปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น คนที่ผิวมันอาจจะใช้มะเฟืองแบะไว้ได้นาน คนที่ผิวแห้ง ก็แปะไว้ได้ไม่นานระยะเวลาในการใช้ให้สังเกตว่า พอเริ่มใช้แล้วมีอาการคันยิบ ๆ แปลว่านานเกินไปให้ลดเวลาลง เช่น ครั้งแรกใช้นาน 10 นาที มีอาการคัน คราวต่อไปควรจะเหลือ 8 นาทีหรือ 6 นาที ไม่ต้องรอให้เกิดอาการคัน

สับปะรด

สับปะรด จะเหมาะสำหรับผิวที่ตายแล้ว โปรตีนที่ตายแล้วหลังจากที่เราไปเผชิญอะไรมาทั้งวัน เราก็ควรจะใช้สับปะรด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อเราไปท่องเที่ยวมา ไม่ค่อยได้ดูแลทำความสะอาดผิวหน้า วิธีใช้เวลาเลือก ให้เลือกสับปะรดพันธุ์ศรีราชา ไม่ควรคั้นน้ำสับปะรด แล้วทาทันที จะทำให้แสบ การใช้ควรจะเติมน้ำและกรีเซอรีนลงไปมาก ๆ สับปะรด 1 ช้อน ควรใช้กรีเซอรีน 2 ช้อน และน้ำอีก 3 ส่วน แล้วจึงทา ทาทิ้งไว้แล้วก็ล้างออก พวกกรดผลไม้ต้องล้างออกให้หมด

มะนาว

มะนาวใช้แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ น้ำ 1 แก้ว ใช้มะนาวแค่ 5-6 หยดก็พอ เพราะความเป็นกรดในน้ำมะนาวมีสูงมาก ถ้าใช้เข้มข้นมันจะทำให้เกิดริ้วรอยได้เร็ว แล้วก็เกิดอาการเหี่ยวย่นได้ง่าย น้ำมะนาวนี้แนะนำให้เป็นตัวเลือกสุดท้ายที่จะใช้ให้น้ำมะนาวหยดลงไปเล็กน้อย พอแค่มีรส สังเกตว่าถ้ามันมีรสเปรี้ยวนิด ๆ ก็ใช้ได้แล้ว แล้วก็ใช้ทาหน้า แล้วก็ล้างออก

นอกจากนั้นน้ำมะนาวผสมน้ำมันมะกอก ทำเป็นคลีนเซอร์ (clean ser) สำหรับคนหน้ามันถึงหน้าธรรมดา ใช้ได้คือใช้น้ำมะนาวให้ผสมน้ำประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาน้ำมะนาวเจือจางนั้นมาผสมกับน้ำมันมะกอก แต่น้ำกับน้ำมันมันไม่เข้ากัน ต้องคนตีแรง ๆ เร็ว ๆ แล้วก็เติมไข่แดงลงไป 1 ช้อน ไข่แดงสด ที่เติมลงไปมันจะเป็นตัวที่ทำให้น้ำกับน้ำมันมันเข้ากันได้ แล้วก็เอาไปทาหน้าแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ๆ

สำหรับคนที่ผิวมันที่ไม่เหมาะที่จะใช้ไข่แดงหรือน้ำมันมะกอก อาจให้ใช้เกร็ดสบู่ หรือถ้าไม่มีก็ให้ใช้สบู่ที่ใช้ในบ้านนั่นเอง ซึ่งจะเป็นสบู่เหลว หรือสบู่ก้อนก็ได้ตัดออกมานิดหน่อย แล้วก็มาตีให้เข้ากับน้ำมะนาวเจือจาง แล้วใช้ทา ทาแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ๆ ล้างน้ำอุ่นเสร็จแล้วตามด้วยน้ำเย็น

ความจริงเราพบว่าการใช้น้ำอุ่นล้างหน้าแล้วไม่ประคบด้วยน้ำเย็น จะทำให้หน้าเหี่ยวเร็วแก่เร็ว เวลาที่เราใช้น้ำอุ่น รูขุมขนมันจะขยาย มันมีข้อดีตรงที่ว่าไขมันที่มันค้างอยู่ข้างในจะออกมา โอกาสที่เป็นสิวจะน้อยลง เมื่อรูขุมขนขยายแล้วต้องรีบกระชับกลับด้วยน้ำเย็นจัด ๆ อีกทีหนึ่งมันก็จะทำให้สภาพผิวไม่เปลี่ยน