การให้อาหาร เนื่องจากปลาเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจึงเป็นการยากที่จะทราบว่าปริมาณอาหารที่ให้ปลานั้น ปลากินหมดหรือไม่ ถ้าให้อาหารมากเกินไป ปลากินไม่หมด ก็เป็นการสิ้นเปลืองและทำให้น้ำเสีย ซึ่งเป็นอันตรายต่อปลา และหากให้น้อยเกินไป ปลาจะเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ เพื่อที่จะลดปัญหาเหล่านี้มีข้อควรปฏิบัติคร่าวๆ ดังนี้
1. ให้ปลากินอาหารเป็นเวลาและให้ในเวลากลางวัน
2. ตำแหน่งที่ให้อาหารทุกครั้งควรเป็นสถานที่เดิม
3. มีแป้นหรือภาชนะรองรับอาหารเป็นที่ๆ ในบ่อนั้น
4. ก่อนให้อาหารควรให้สัญญาณ เช่น การใช้มือหรือไม้ตีน้ำให้กระเทือน
5. ปรับปริมาณอาหารที่ให้ทุก 1-2 สัปดาห์
6. ให้อาหารปลาโดยใช้เครื่องมือให้อาหารแบบอัตโนมัติหรือกึ่งอัตโนมัติ สำหรับปริมาณอาหารที่จะใช้เลี้ยงปลานั้น มีวิธีการที่จะให้ได้ 2 วิธี คือ
ก. โดยการคาดคะเนจากการกินอาหารปลา วิธีนี้ผู้เลี้ยงจะต้องสังเกตอยู่เสมอ โดยถือปฏิบัติว่าอาหารที่ให้แต่ละครั้งนั้น ปลากินหมดหรือไม่ หากปลากินหมดก็เพิ่มให้อีก และถ้าปลากินเหลือก็ลดปริมาณอาหารที่ให้
ข. โดยการคำนวณ วิธีการนี้สะดวกต่อการประมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวัน และอาหารที่ให้ต้องเป็นอาหารที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ มีระดับโภชนาการใกล้เคียงกันตั้งแต่ระยะต้นของการเลี้ยงถึงขั้นจับขาย นอกจากนี้จะต้องทราบถึง
-น้ำหนักเริ่มต้นของปลาที่ปล่อยเลี้ยง
-อัตราการแลกเนื้อของอาหารที่ใช้
-ปริมาณของอาหารที่ให้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนักของปลาแต่ละช่วงของการเลี้ยง
วิธีการคำนวณได้แสดงให้เห็นดังต่อไปนี้
ตัวอย่างเช่น ในการเลี้ยงปลาชนิดหนึ่ง จำนวน 10,000 ตัว นํ้าหนักรวม 20 กก. โดยใช้อาหารที่มีอัตราการแลกเนื้อเท่ากับ 2 อยากทราบว่าจะเลี้ยงปลาชนิดนี้ โดยให้อาหารวันละกี่กิโลกรัมจึงจะเหมาะสม โดยกำหนดว่าจะให้ประมาณวันละ 10% ของน้ำหนักตัวปลาในเดือนแรก และวันละ 8% ในเดือนที่สอง 6% ในเดือนที่สาม และปรับปริมาณอาหารที่ให้ทุกๆ 10 วัน เมื่อเลี้ยงไปแล้วนาน 3 เดือน ถามว่าจะได้ปลาและใช้อาหารไปทั้งหมดเท่าใด ทั้งนี้ให้ถือว่าอัตราการเหลือรอดของปลาในระยะเริ่มแรกเท่ากับ 80% เนื่องจากความบอบชํ้าอ่อนเพลีย และเครียดที่เกิดจากการลำเลียงขนส่งและการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
วิธีการ
น้ำหนักปลาเริ่มต้นคิดเป็น 100 % = 20 กก.
ปลาเหลือรอด 80 %จะมี นน.เริ่มต้น = 20×80/100 กก.
= 16 กก.
ดังนั้น ในการให้อาหาร 10% ต่อวัน = 16×10/100
= 1.6 กก.
จะต้องให้อาหารวันละ = 1.6 กก.
ในระยะ 10 วัน จะใช้อาหาร 1.6 X 10 =16 กก.
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 16/2 กก.
= 8 กก.
ดังนั้น หลังการเลี้ยงแล้ว 10 วัน จะได้ปลา =16 + 8 กก.
= 24 กก.
ในช่วงที่ 2
นน.ปลาเริ่มต้น = 24 กก.
ให้อาหารวันละ 10% = 24 X10/100
= 2.40 กก.
ให้อาหาร 10 วัน ปริมาณที่ให้ = 2.40 X 10
= 24 กก.
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขน = 24.0/2
= 12.00
นน.ปลาหลังจากเลี้ยง 10 วัน = 24 + 12
= 36 กก.
ในช่วงที่ 3
นน.ปลาเริ่มต้น = 36.00 กก.
ให้อาหารวันละ 10% จะใช้อาหารต่อวัน = 36.00 X10/100
= 3.60 กก./วัน
ให้ใป 10 วัน จะต้องใช้อาหาร = 3.60 X 10
= 36.00 กก.
มีอัตราการแลกเนื้อ = 2
ปลาจะโตขึ้นอีก = 36.00/2
= 18.00 กก.
หลังการเลี้ยงในช่วงที่ 3 จะได้ นน. = 36.00 + 18.00
ปลาทั้งหมด = 54.0 กก.
ในช่วงที่ 4 (หรือเดือนที่สอง)
นน.เริ่มต้น = 54.0 กก.
ให้อาหารวันละ 8% จะใช้อาหาร = 54.0 X8/100
= 4.32 กก.
ให้อาหารใน 10 วัน = 4.32 X 10
= 43.2
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 43.2/2
= 21.6
หลังการเลี้ยงในระยะที่ 4 จะได้ปลา = 54.0 + 21.6
= 65.6 กก.
ในช่วงที่ 5
นน.ปลาเริ่มต้น = 65.6
ให้อาหารวันละ 8% จะใช้อาหาร = 65.6 X 8 X 10/100
= 52.48 กก.
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 54.48/2
= 26.24 กก.
หลังการเลี้ยงในระยะที่ 5 จะได้ปลา = 65.6 + 26.24
= 91.8 กก.
ในช่วงที่ 6
นน.ปลาเริ่มต้น = 91.8 กก. ให้อาหารวันละ 8% จะใช้อาหาร = (91.8 X 8) = 10/100
= 73.44 กก.
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้ นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 73.44/2
= 36.72 กก.
หลังการเลี้ยงในระยะที่ 6 จะได้ปลา = 91.8+36.72
= 128.5 กก.
ในช่วงที่ 7 (หรือเดือนที่สาม)
นน.ปลาเริ่มต้น = 128.5 กก.
ให้อาหารวันละ 6% จะใช้อาหาร =(128.5×6)x10/100
= 77.10 กก.
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 77.10/2
= 38.55 กก.
หลังการเลี้ยงในระยะที่ 7 จะได้ปลา = 128.5 + 38.55
= 167 กก.
ในช่วงที่ 8
นน.ปลาเริ่มต้น = 167 กก.
ให้อาหารวันละ 6% จะใช้อาหาร = 167x6x10/100
= 100.2 กก.
อัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 100.2/2
= 50.1 กก.
หลังการเลี้ยงในระยะที่ 8 จะได้ปลา = 167+50.1
= 217.1 กก.
ในช่วงที่ 9 (หรือสิ้นเดือนที่ 3)
นน.ปลาเริ่มต้น = 217.1 กก.
ให้อาหารวันละ 6% จะใช้อาหารต่อวัน =217.1x6x10/100
= 130.26 กก.
มีอัตราการแลกเนื้อ = 2
จะได้นน.ปลาเพิ่มขึ้น = 130.26/2
= 65.13 กก.
เมื่อสิ้นเดือนที่ 3 จะได้ปลาหนัก = 217.1 + 65.13
= 282.23 กก.
และใช้อาหารทั้งสิ้น = (16+24+36) + (43.2+52.48+ 73.44+ (77.10+100.20+130.25) = 552.68 กก.
ในการให้อาหารจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ผู้เลี้ยงสัตว์นํ้าควรจะได้พิจารณาข้อมูลต่อไปนี้ ประกอบกับการที่จะเพิ่มหรือลดอาหารในระหว่างการเลี้ยง ทั้งนี้มีปัจจัยหลายประการที่จะทำให้ปลากินอาหารได้มากหรือน้อย หรือหยุดชะงักการกินอาหาร และนำอาหารที่กินแล้วไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ทั้งนี้ให้สังเกตจาก
1. ลักษณะของน้ำ
1.1 สีของนํ้า ซึ่งสีของน้ำสามารถที่จะประมาณการได้ว่า ปริมาณอาหารที่ให้มากหรือน้อยเกินไป เช่น
ก. น้ำในบ่อเลี้ยงมีสีขาวใส จนสามารถมองเห็นลงไปถึงพื้นก้นบ่อ แสดงว่าอาหารที่ให้ไม่พอเพียง
ข. น้ำในบ่อเลี้ยงมีสีเขียวใส เมื่อใช้มือจุ่มลงไปประมาณ 35 ซม. แล้วกระดกปลายนิ้วขึ้นยังสามารถมองเห็นปลายนิ้วได้ แสดงว่าอาหารที่ให้พอเหมาะกับปลาที่เลี้ยง แต่หากจุ่มมือลงไปลึกกว่าระดับนี้ยังมองเห็นปลายนิ้วที่กระดกขึ้นมา แสดงว่าอาหารที่ให้ยังไม่พอเพียง
ค. น้ำในบ่อมีสีเขียวจัด เมื่อใช้มือจุ่มลึกลงไปประมาณ 20 ซม. แล้วกระดกปลายนิ้วขึ้น ถ้าไม่สามารถมองเห็นปลายนิ้วได้ แสดงว่าอาหารที่ให้ปลาในบ่อนั้นมากเกินไป ควรจะลดปริมาณอาหารให้น้อยลง
ง. น้ำในปอมีสีขาวขุ่น แสดงว่าปริมาณอาหารที่ให้มากเกินไป และส่วนที่เหลือของอาหารได้เน่าเสียแล้ว ให้งดอาหารแล้วรีบแก้ไขเรื่องของน้ำในบ่อให้เร็วเท่าที่จะทำได้
1.2 อุณหภูมิของน้ำต่ำ ควรให้อาหารน้อยลง
1.3 ความเค็มของน้ำ สำหรับกุ้งทะเลและปลาทะเล ถ้าความเค็มลงต่ำกว่าปกติมากในฤดูฝน สัตว์พวกนี้จะเจริญเติบโตช้าและกินอาหารน้อย
2. สุขภาพของสัตว์น้ำ ถ้ากุ้งหรือปลามีสุขภาพไม่ดี มีโรค ก็จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารลงจนกว่าสุขภาพจะดีขึ้น
3. ปริมาณสัตว์น้ำอื่นในบ่อที่จะแย่งอาหารสัตว์น้ำที่เราเลี้ยง ถ้ามีปริมาณมาก เราก็ต้องให้อาหารมากขึ้น