ในการทำงานทุกชนิดต่างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อให้งานที่กระทำนั้นสำเร็จ และเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ดังจะเห็นได้ว่าจากการค้นคิดประดิษฐ์เครื่องมือขึ้นใช้ ก็เพื่อต้องการให้งานได้รับผลอย่างดียิ่ง จากเครื่องมือหลายอย่างที่ใช้ทำงานอย่างเดียวกัน แต่อาจได้รับผลต่างกัน ประโยชน์ที่ได้รับก็ย่อมแตกต่างกันด้วย ดังนั้นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์มาก
ประโยชน์ของการใช้เครื่องทุนแรงฟาร์ม
1. เวลาทำงานได้มาก โดย
-ใช้เวลาทำงานน้อย
-ใช้แรงงานคนช่วยน้อย
-ค่าใช้จ่ายน้อย
2. สามารถทำงานได้หลายอย่าง เช่น
-เตรียมดินปลูกพืช
-สูบน้ำ
-การเก็บเกี่ยว
3. สามารถทำงานได้ตลอดเวลา ทันกับฤดูกาลของการปลูกพืช
4. ช่วยแก้ไขอุปสรรคบางอย่างได้ เช่น การระบายน้ำ เมื่อน้ำท่วม
5. สามารถช่วยให้ความเพลิดเพลินในการทำงานโดยไม่เบื่อหน่ายและไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าที่ควร
โทษของการใช้เครื่องยนต์ฟาร์ม
1. ต้องลงทุนซื้อตอนแรกด้วยราคาแพง
2. ต้องปฏิบัติรักษาและการซ่อมแซมด้วยความรู้ที่แน่นอน
ถ้ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็จะได้รับโทษอย่างร้ายแรงต่อระบบของเครื่องยนต์หรือชีวิต
ประวัติของรถแทรคเตอร์ใช้ในฟาร์ม
รถแทรคเตอร์ได้เริ่มต้น ภายหลังจากความเจริญของเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งได้ใช้เครื่องจักรไอน้ำ เป็นต้น กำลังขับดันเพื่อการทำงาน รถแทรคเตอร์แบบนี้มีน้ำหนักหลายตัน เคลื่อนที่ไปได้ช้าๆ และเหมาะสมสำหรับงานฉุดสายพานและทำงานสำหรับสนามใหญ่ๆ
ต่อมาเครื่องยนต์ระบบเผาไหม้ภายใน คือ เครื่องยนต์ Otto ได้เริ่มมีขึ้น และได้สร้างรถแทรคเตอร์ด้วยเครื่องยนต์ชนิดนี้ก่อนปี ค.ศ.1990 แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ นี้คือความไม่สำเร็จของผู้ริเริ่ม พวกนี้ได้พยายามทดลองและวิวัฒนาการรถแทรกเตอร์จนมีความสำเร็จ
ปี ค.ศ.1900 ถึง ปี ค.ศ.1920 แนวความคิดเห็นใหม่ๆ ของผู้สร้างแทรคเตอร์ เช่นสร้างล้อ รูปร่าง น้ำหนัก และโครงร่างของรถแทรคเตอร์ แต่บริษัทรถแทรคเตอร์ไม่ตกลงในการสร้าง เพราะว่าผู้ทำไม่มีความชำนาญถึงอย่างไรก็ตามในสมัยนี้ความคิดการสร้างรถแทรคเตอร์ได้มีเหตุผลให้มีน้ำหนักเบา สอดคล้องกับการขับขี่มีฝาปิด ระบบเครื่องยนต์ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ในการสร้างต่อไป
ในสมัย ค.ศ.1920 ถึง ค.ศ.1930 วิวัฒนาการของรถแทรคเตอร์ ได้สร้างให้มีน้ำหนักเบาอย่างถูกต้อง และให้ทำงานได้หลายๆ อย่าง ในตอนปลายสมัยนี้ ล้อรถแทรคเตอร์ได้เปลี่ยนเป็นล้อยางอัดลมโดยตอนแรกได้ใช้ยางของเครื่องบินใส่ประกอบล้อรถแทรคเตอร์ เพื่อการทดลอง และได้รับผลสำเร็จหลังจากนี้บริษัทหลายบริษัทร่วมกันทำล้อยางรถแทรคเตอร์ขึ้นใช้ ในการใช้ล้อยางนี้ได้รับประโยชน์หลายอย่างเช่น สามารถทำงานในดินโคลนได้ และแล่นตามถนนด้วยความเร็วสูง ก็ไม่ทำให้ถนนเกิดการเสียหายขึ้น ในสมัยนี้รถแทรคเตอร์ ได้ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแล้ว ซึ่งครั้งแรกเครื่องยนต์ดีเซลได้ใช้กับรถแทรคเตอร์ตีนตะขาบเท่านั้น และต่อมาเครื่องดีเซลก็ได้ใช้กับรถแทรคเตอร์ใส่ล้อ
ก่อน ค.ศ.1940 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผู้แนะนำของ Theree point hitch ได้ออกแบบรถแทรคเตอร์ใหม่ให้มีความสะดวกสบายขึ้น น้ำหนักเบามีอายุมากและปรับปรุงทุกๆ อย่าง
ส่วนประกอบที่ต้องปฏิบัติในการใช้รถแทรคเตอร์
เกจวัดน้ำมันเครื่อง
สวิทช์ไฟฟ้าเครื่องยนต์
คันเกียร์
ฝาปิดที่เติมน้ำมันเกียร์
ที่วางเท้า
คันเหยียบคลัช
เบรคล้อซ้าย-ขวา
คันเร่งเครื่องยนต์
เกจวัดไฟชาร์จ
โช้ค
ฝาปิดน้ำมันเกียร์
ลูกหมากคันส่ง
ที่ล็อคเบรค
คันเบรครวม
คันบังคับไฮดรอลิค
การใช้เครื่องมือทุ่นแรงในฟาร์ม
การใช้เครื่องมือทุ่นแรง ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เครื่องมือที่ใช้กับแรงเครื่องยนต์ คือรถแทรคเตอร์
หลักของการใช้รถแทรคเตอร์ มีดังนี้ คื
1. ก่อนจะใช้รถแทรคเตอร์บริการรถ และตรวจดูรถให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย เช่นเดียวกับการบริการรถยนต์
2. ใช้เกียร์ต่ำในการทำงานหนัก เช่น ลากไถ เครื่องพรวน หรือเกรดดิน
3. เครื่องมือให้เหมาะกับงานที่จะทำ เช่น ในพื้นที่ที่บุกเบิกใหม่ก็ควรใช้ไถบุกเบิกทำงาน ไม่ควรใช้เครื่องพรวนทำงานในพื้นที่นั้นๆ
4. ในการทำงานหนักควรจะเร่งเครื่องยนต์ให้มีกำลังสูงอยู่เสมอ อย่างน้อย 800-1500 รอบต่อนาที(ชนิดที่มีรอบสูงสุด 2400 รอบ)
5. ในตอนที่กำลังใช้ไถหรือเครื่องพรวนทำงานจะต้องเดินรถให้เป็นเส้นตรง และบังคับให้ขี้ไถเรียบ
6. ควรยกไถในขณะที่กำลังจะเลี้ยวและปล่อยเครื่องมือทำงานลงในขณะที่รถกำลังตั้งตัวอยู่ในแนวตรงกับการไถ ในข้อนี้ถ้าใช้ไถทำงานอยู่ในขณะที่รถเลี้ยวหรือไถไม่ตั้งอยู่ในแนวตรงก็จะทำให้เครื่องมือเครื่องไถที่พ่วงอยู่ข้างหลังอาจบิดงอหรือหัก
7. ควรระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับคนขับและรถ
8. ควรตรวจดูบริเวณที่เราจะไถหรือทำงานให้แน่ใจเสียก่อน ว่ามีความปลอดภัย หรือมีวิธีการหลบหลีกอันตรายได้อย่างไร แล้วจึงลงมือปฏิบัติงาน
9. ก่อนจะลงมือไถหรือพรวนหรือใช้เครื่องอย่างอื่นๆ ก็ให้แบ่งที่ทำงานให้เป็นกะๆ คือหมายความว่าแบ่งที่ทำงานครั้งหนึ่ง ให้พอเหมาะพอดีกับการหมุนเลี้ยวรถเพื่อไม่ให้เสียเวลา
10. ควรให้รถทำงานอยู่เหนือฝุ่นละออง ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรนำรถมาทำงานอยู่ทางด้านที่ฝุ่นถูกลมพัดพามา
11. ไม่ควรทำงานในเวลาฝนตกหนัก หรือในที่ที่มีดินอ่อนหรือยุบตัว
12. ถ้ามีไม้ ก้อนหิน หรือวัตถุอื่นๆ เข้ามาขัดอยู่ตามบริเวณล้อรถ ตัวรถ คันยก ไฮดรอลิก หรือส่วนต่างๆ ของรถก็ให้รีบหยุดรถและนำสิ่งเหล่านั้นออกให้หมดจึงจะทำงานต่อไป
13. ควรขับรถทำงานในเมื่อรู้สึกตัวว่าร่างกายแข็งแรงพอ และเมื่อรู้สึกเหนื่อยมาก ก็ควรจะได้หยุดพักหรือเปลี่ยนคนขับทันที
14. เดินหน้าหรือถอยหลังรถ เข้าที่ทำงานให้ตรงเป้าหมาย ได้อย่างรวดเร็ว
15. ไม่ควรเบรคเลี้ยวซ้ายหรือขวาในขณะที่รถทำงานหนัก ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือที่ใช้ทำงานหักพังได้
16. เครื่องมือที่จะใช้ทำงานทุกชิ้น จะต้องรู้จักปรับให้เครื่องมือนั้นทำงานได้ผลอย่างดีและรวดเร็วที่สุด
17. ไม่ควรให้ผู้อื่นห้อยโหน หรือนั่งเกะกะในบริเวณที่นั่งขับ หรือตัวรถในเวลาทำงาน