เราปลูกพืชก็เพื่อหวังผล ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอันสมควรเราก็ต้องทำการเก็บเกี่ยวพืชผลที่เราปลูก เนื่องจากพืชพรรณที่ปลูกมีมากมายหลายชนิด ดังนั้นเวลาที่จะเก็บเกี่ยวจึงแตกต่างกันไปตามชนิดของพืชและวัตถุประสงค์ของผู้บริโภค เช่น
ชนิดของพืชที่ปลูก | ลักษณะและช่วงเวลาที่ควรเก็บเกี่ยว |
ผักคะน้า | 45-50 วัน หลังจากเพาะเมล็ด หรือขณะที่ดอกยังไม่บาน |
ผักคะน้า(ฉีดยาดีลดริน) | ควรเก็บหลังจากฉีดยาอย่างน้อย 15 วัน |
กะหล่ำปลี | 60-90 วัน นับจากวันย้ายปลูก ลักษณะหัวแน่นใส เคาะดู จะมีเสียงแน่นและหนัก |
กะหล่ำปม | 40-60 วันหลังจากย้ายปลูก ปมโตเต็มที่ สีเขียวอ่อน ยังไม่แตกและซีด |
แตงกวา | 30-45 วัน นับจากปลูก ผลยังอ่อนและมีหนามอยู่ |
ถั่วลันเตา | 45-60 วัน ขณะที่ฝักยังอ่อนเมล็ดไม่แก่ |
ถั่วฝักยาว | 50-60 วัน หลังจากปลูกขณะที่ฝักยังไม่แก่ |
ผักบุ้งจีน | 25-35 วัน ขณะที่ต้นยังอ่อนอยู่ ยาวไม่เกิน 1 ฟุต |
หอมแบ่ง | 50 วัน หลังจากปลูก ขณะที่ต้นเขียวสดอ่อน หัวยังไม่พอง |
ผักกาดหอม | 40-50 วันหลังจากเพาะเมล็ด ขณะยังอ่อนและไม่ออกดอก |
ผักกาดเขียวปลี | 60 วัน จากเพาะเมล็ด ขณะที่ก้านใบอวบอ้วนยังไม่มีดอก |
ผักกาดขาวปลี | 55-70 วันหลังจากเพาะเมล็ด ขณะที่ดอกยังไม่บาน และกำลังห่อปลีแน่นขาว |
ผักกาดเขียว-ขาวกว้างตุ้ง | 35-45 วันจากวันปลูก ลำต้นอวบ ดอกยังไม่บาน |
บวบเหลี่ยม | 50-60 วันหลังปลูก ขณะที่ผลยังอ่อนอยู่เมล็ดยังไม่แข็ง |
กะหล่ำดอก | 60-90 วันนับจากวันย้ายปลูก หัวมีสีครีมอ่อน แน่นและเรียบ |
ผักกาดหัว | 50-70 วันหลังปลูก หัวยังไม่ฟ่าม ต้นยังไม่ออกดอก |
มะเขือเทศ | 60-80 วันนับจากย้ายปลูก ขณะที่ผลกำลังแก่เรื่อๆ |
กระเทียม | 100-120 วันนับจากวันปลูก ขณะที่ต้นและใบแห้ง |
แตงโม | 80-120 วันหลังจากปลูก เก็บขณะที่มือแห้ง |
ข้าวจ้าว กข.1 | 130 วัน |
ข้าวจ้าว กข.3 | 128 วัน |
ข้าวจ้าว กข.7 | 125 วัน |
ข้าวปิ่นแก้ว 56 | 29 ธันวาคม |
ข้าวพวงไร่ 2 | 6 กุมภาพันธ์ |
ข้าวนางพญา 132 | 16 กุมภาพันธ์ |
ข้าวเผือกน้ำ 43 | 22 กุมภาพันธ์ |
ข้าวโพดหวาน | 55-65 วัน ขณะที่ยังฝักอ่อนอยู่ |
ข้าวโพดทำอาหารหมัก | เมื่อฝักเริ่มเป็นน้ำนม ความชื้นของต้นประมาณ 65-70% |
ธัญญพืชอื่น ๆ | ควรเก็บเมื่อ 6-7 วัน ก่อนสุกเต็มที่หรือเมื่อมีความชื้น 14-15% |
ถั่วเขียว ถั่วลิสง | เมื่อฝักแก่เต็มที่ ต้นเริ่มแห้ง |
หลักของการเก็บเกี่ยวธัญญพืช
เมล็ดธัญญพืชจะหยุดการเจริญเติบโต เมื่อเข้าระยะที่สร้างแป้งได้เต็มเมล็ด และเมล็ดมีลักษณะแน่นแข็ง ในขณะนี้เมล็ดจะมีความชื้นประมาณ 40% หรือน้อยกว่า สำหรับข้าว เกษตรกรควรเก็บเกี่ยวเมื่อข้าวสุกหรือเมื่อ 80% ของเมล็ดในรวงมีสีน้ำตาล (สีฟาง) และความชื้นของเมล็ดข้าวอยู่ระหว่าง 25-27% นอกจากนี้เกษตรกรก็ควรไขน้ำออกให้พื้นดินแห้ง ก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 10 วัน เพื่อสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว และการใช้เครื่องมือ
การเก็บเกี่ยวธัญญพืชก่อนกำหนด มีผลเสียหายหลายประการ เช่น ผลผลิตลดลง อาจเกิดโรคราสนิม เปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ คุณค่าทางอาหารก็ต่ำลงด้วย แต่การเก็บเกี่ยวที่ช้าเกินไปก็มีข้อเสียหลายประการเช่น เมล็ดข้าวร่วงหล่น ต้นข้าวหักล้ม ข้าวงอกในนา คุณภาพข้าวต่ำลง นก หนู เข้ามากิน ทำให้คุณภาพและปริมาณลดลง การเก็บเกี่ยวข้าวปัจจุบันนี้ทำกันหลายวิธี เช่น การใช้แกระ เพื่อเก็บข้าวทีละรวงแล้วมัดเป็นเลียง ๆ การเก็บเกี่ยวด้วยเคียวซึ่งนิยมมากในภาคกลางและภาคอื่น ๆ ส่วนภาคใต้ยังไม่แพร่หลาย การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักรมักเป็นงานของหน่วยราชการ แลสถานีทดลองข้าวต่าง ๆ วิธี่นี้ยังไม่เหมาะแก่สภาพของชาวนาไทยทั่ว ๆ ไป
ข้าวที่เก็บมาแล้ว จะต้องรีบทำให้แห้งหรือนวดและตากให้ข้าวเปลือกมีความชื้นประมาณ 13-14% ก่อนที่จะเก็บเข้ายุ้งฉางต่อไป การนวดข้าวในเมืองไทย อาจใช้แรงคน (เท้าถีบหรือฟาดด้วยมือ) ใช้แรงสัตว์ (ให้ควายนวด) หรือใช้แรงเครื่องจักร (เครื่องนวดข้าวแบบต่าง ๆ) ข้าวหรือธัญญพืชอื่นๆ ที่ยังไม่แห้งสนิทควรจะต้องทำให้แห้งเสียก่อนโดยวิธีการต่าง ๆ เช่น
1. ใช้แสงแดด ซึ่งเป็นวิธีการประหยัดที่สุด
2. ใช้ลมธรรมดา โดยใช้พัดลมเป่าผ่านเมล็ดประมาณ 1-4 อาทิตย์
3. ใช้ลมร้อน วิธีนี้สะดวกและรวดเร็ว แต่เป็นวิธีที่สิ้นเปลือง เพราะต้องใช้ตะเกียง(เตา) และพัดลมเพื่อส่งความร้อนเข้าไปอบเมล็ด อุณหภูมิที่ใช้อบเมล็ด ควรอยู่ระหว่าง 43°ซ. (สำหรับเมล็ดพันธุ์) 55°ซ. (สำหรับเมล็ดที่ทำแป้ง) และ 82°ซ. (สำหรับเมล็ดที่จะเป็นอาหารสัตว์)
ข้าวหรือข้าวโพดก็ดี ก่อนที่จะเก็บขึ้นฉาง ควรผึ่งแดดให้แห้งสนิท (ความชื้น 13-14% ) ควรทำความสะอาดและคัดข้าวเมล็ดลีบไปให้หมด อย่าให้มีกรวด หิน ทราย ปะปนอยู่ ยุ้งฉางหรือโรงเก็บจะต้องมีฐานรอง ระบายอากาศได้ดี โรงเก็บต้องสะอาด อย่าให้ข้าวหรือข้าวโพดถูกน้ำและฝน อย่าให้มีรา และแมลงปะปน เพราะราและแมลง จะทำให้เมล็ดร้อนขึ้นเนื่องจากการคายคาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำและความร้อนออกมา ถ้าเมล็ดถูกรารบกวนจะทำให้มีสารพิษเกิดขึ้นชื่อ อะฟลาท๊อกซิน(Aflatoxin) สารพิษชนิดนี้เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์อย่างมาก นอกจากนั้นต้องป้องกันอย่าให้เมล็ดมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว หรือเกิดกลิ่นไหม้เพราะเมล็ดมีความร้อนภายใน การรักษาโรงเก็บให้สะอาดเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นจะต้องล้างพื้น ฉีดพ่นฝาผนัง ก็ขอแนะนำให้ใช้ มาลาไธออนหรือลินเดน ขนาด 2% หรือ ยาเมธท๊อกซิคลอ 2.5% ฉีดพ่นตามพื้น ฝาผนัง ซอกมุมให้ทั่วก่อนเก็บเมล็ดข้าว แต่ถ้าถูกแมลงรบกวน (เช่น ด้วงมอด ฯลฯ)เราสามารถแก้ไขได้ 2 วิธีคือ การอบความร้อนที่ 54-60°ซ. นาน 30 นาที แมลงจะตายหมด หรือจะใช้ยารมเช่นใช้ เมทธิล โบรไมด์ หรือ คาร์บอนเตตร้าคลอไรด์ หรือส่วนผสมของคาร์บอนเตตร้าคลอไรด์ และคาร์บอนไดซัลไฟด์ (80:20%) ก็ได้ แต่ต้องมีผ้าพลาสติคหุ้มให้มิดชิดแล้วจึงทำการรมยาดังกล่าว